น.ส.สุนันทา กริชไกรวรรณ
พุทธศาสนาได้เผยแผ่อิทธิพลมาถึงประเทศไทยตั้งแต่อดีตกาล ชาวไทยเป็นพุทธศาสนิกชนกันตั้งแต่เกิด ได้รับรู้ถึงพุทธศาสนากันตามประเพณี วัฒนธรรมและการเรียนรู้ต่างๆกันตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมา สัมพุทธเจ้า หลังจากที่ได้เริ่มสนใจนำพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติอย่างจริงจัง และสนใจที่จะศึกษาพระพุทธศาสนาโดยการซื้อหนังสือมาอ่าน ไปปฏิบัติธรรมเมื่อถึงคราววันสำคัญทางพุทธศาสนาในวาระต่างกัน จนมีโอกาสได้เดินทางไปจาริกแสวงบุญสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดียและเนปาล ทำให้เกิดความรู้สึกว่าอยากศึกษาพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นอย่างจริงจังเพื่อให้รู้ถึงพระธรรมคำสั่งสอนนั้นจริงๆ จนเมื่อมีโอกาสได้เข้ามาศึกษาวิชาพระพุทธศาสนศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย จึงรู้ว่าพระพุทธศาสนาของเรามีการแบ่งออกเป็นฝ่ายเถรวาทและฝ่ายมหายาน ซึ่งจุดกำเนิดของทั้งสองฝ่ายนั้นมาจากพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวกัน ในขณะที่ฝ่ายเถรวาทได้รักษาและยึดมั่นคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งถ้อยคำ และเนื้อความตามที่ได้ทำสังคายนาไว้โดยเคร่งครัดโดยปรากฎเป็นพระไตรปิฎก ตลอดจนรักษาตัวภาษาดั้งเดิมคือภาษาบาลีและฝ่ายมหายานล่ะเป็นอย่างไร? จึงทำให้เกิดมีคำถามขึ้นมาว่าแล้วอะไรล่ะเป็นมูลเหตุหรือเงื่อนไขที่ทำให้เกิดพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานขึ้นมาหลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ดังปรากฎอยู่ในพระมหาปรินิพพานสูตร ประกอบกับการศึกษาในชั้นเรียนเกี่ยวกับวิชาพุทธศาสนามหายาน ทำให้ทราบว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดนิกายมหายานรวมไปถึงปัจจัยที่เกี่ยวกับปัจฉิมวาจาของพระพุทธเจ้าที่ได้ดำรัส ไว้ในพระธรรมคำสอนต่างๆ การตีความพระอภิธรรมและการนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติของมหายาน
มหาปรินิพพานสูตรในความหมายของมหายาน
จากการที่ได้สนทนาธรรมกับพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (เย็นเต็ก) เจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย เจ้าอาวาสวันโพธิ์แมนคุณารามเพื่อเรียนถามเกี่ยวกับมหาปรินิพพานสูตรของมหายานว่ามีบัญญัติไว้ในพระไตร ปิฎกนั้นเป็นอย่างไร ท่านได้เมตตาเปิดคัมภีร์ฉบับภาษาจีนและแปลให้ฟังว่า มหาปรินิพพานสูตรนั้นภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกว่า “ไตปวงนิพพวง” แปลว่า นิพพานสูงสุด ภาษาสันสกฤตเรียกว่า “มหาปญฺนิพาน” “มหา”แปลว่าใหญ่ เป็นการสั่งสมบารมีของพระพุทธเจ้าที่มีความสามารถรอบรู้ได้ทุกอย่าง “ปญฺ” แปลว่าการปฏิบัติของส่วนตัวเราเป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใดในภาวะไหนเราต้องรู้ตัวปฏิบัติให้อยู่ในปญฺ “นิพาน” แปลว่าสงบ ไม่มีอะไรสงสัย ไม่ต้องรู้แล้วมีคุณธรรมรู้ทุกอย่าง ดังนั้น “มหาปญฺนิพาน”แปลว่า สูตรว่าด้วยเรื่องนิพพานสูงสุดที่มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวที่สามารถทำได้
การที่จะเข้าถึงมหาปญฺนิพานได้นั้นต้องเป็นผู้ที่ดำเนินวิธีชีวิตได้อย่างสงบตามหลักคำสอนของพระพุทธ ศาสนาได้อย่างดี เป็นผู้ที่สามารถเรียนเหมือนพระพุทธองค์ที่ทรงเทศนาธรรมหมายถึงเรียนรู้แล้วนำมาปฏิบัติได้เป็นการดับขันธ์ด้วยความสงบเสงียมไปในทางที่หมดกิเลสหมดห่วง ดับสิ่งที่ไม่ดีคือการดับกิเลสเป็นคนเยือกเย็นเป็นคนที่รักษาธรรมไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เดือดร้อน เป็นคนรอบรู้คิดถูกต้องแล้วด้วยกาย วาจา ใจทำให้ถูก ต้องไม่มีกิเลสอีกแล้ว ดับสิ่งที่ควรดับคือกิเลสเร้าร้อนทั้งหลายหลุดจากตัวเราไปและจะไม่กลับมาอีกเปรียบ เสมือนคนซ้อนท้ายรถถ้าซ้อนดีก็จะไปด้วยกันตลอดแต่ถ้าซ้อนไม่ดีก็อาจตกลงมาได้ ส่วนสิ่งที่ปฏิบัติไม่ได้ก็ต้องหาทางเพื่อให้หลุดพ้น มีการสรรเสริญผู้ที่มีคุณธรรมว่าท่านสงบเสงียมดี การจะดับสิ่งที่ไม่ดีนั้นในทางมหายานจะถือว่าผู้ที่บำเพ็ญได้ธรรมแล้วจะต้องให้คนอื่นก่อน โปรดสัตว์ทั้งปวงดังนั้นคนที่ปฏิบัติจะรวมกันเป็นกลุ่มเมื่อบรรลุแล้วก็จะได้ทั้งกลุ่มที่ปฏิบัติ แต่ถ้าคนใดยังไม่บรรลุก็จะกลับไปช่วยคนที่ไม่บรรลุโดยการปฏิบัติ เปรียบ เสมือนถังน้ำที่ใส่น้ำว่าถังใดมากกว่าก็ให้ถือว่ามีน้ำมากกว่าแต่ยังถือประโยชน์ไว้ใช้เสมอ ส่วนการจะใหญ่แค่ไหนนั้นก็อยู่ ณ เวลานั้น เหมือนในสมัยพุทธกาลที่มีการทำสังคายนาพระไตรปิฎกซึ่งพระสงฆ์คณะใหญ่พร้อมหมด แล้ว รอแต่พระอานนท์ซึ่งถ้าเข้าไปรวมกับคณะใหญ่ไม่ได้ก็ไม่สามารถทำสังคายนาได้เนื่องจากพระอานนท์เป็นผู้ที่รอบรู้พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สุด
ปัจฉิมวาจาของพระพุทธเจ้าในมหายาน
มหาปรินิพพานสูตร กล่าวว่า พระพุทธเจ้าได้ปรารภขึ้นว่า “ดูกรอานนท์ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ถ้าสงฆ์ต้องการ ก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างก็ได้” (มหาปรินิพพานสูตร 10/141) พระอานนท์เถระเจ้าก็มิได้ทูลถามต่อไปว่าสิกขาบทเล็ก น้อยที่พระองค์หมายถึงนะได้แก่สิกขาบทประเภทไหนทำให้เกิดมีปัญหาว่าแค่ไหนเรียกว่าเล็กน้อยเป็นเหตุให้ภิกษุบางรูป (ท่านปุราณะ) ไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับการทำสังคายนาที่พระมหา กัสสปเป็นองค์ประธานมาตั้งแต่ครั้งแรก เพราะท่านไม่ได้เข้าประชุมและรู้เห็นในที่ประชุมด้วย และท่านก็ถือว่าท่านได้ฟังได้รู้ได้เห็นเรื่องพุทธพจน์ จากพระโอษฐ์ของพระศาสดาคนหนึ่งเหมือนกัน ท่านอาจจะถือตามมติของท่าน ดังนั้นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งของการแยกนิกายตั้งแต่ปฐมสังคายนาแล้ว รายละเอียดในข้อที่ท่านปุราณะ โต้แย้งกับพระมหากัสสปเรื่องวินัยเล็กน้อย คือสิกขาบทว่าด้วย “อันโตวุตถะ อันโตปักกะ สามปักกะ อุคคหิตะ ตโตนีหฎะ ปุเรภัตตะ วนัฏฐะ โปกขรัฏฐะ” สิกขาบทที่ว่าด้วยการหุงต้มการเก็บของขบฉันในกุฏิ หมายความว่า พระเก็บของอาหารไว้ฉันในกุฏิได้ไหม พระหุงต้มเองฉันในกุฏิได้ไหม ถ้าไม่มีกัปปิยะการก (ผู้ปฏิบัติภิกษุในเรื่องปัจจัย ๔ คือ จีวร อาหาร ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรค) มีผลไม้ที่ยังไม่ทำตามวินัยกรรม (การกระทำเพื่อให้ถูกต้องตามพระวินัย) อยู่ๆเก็บไปฉันเป็นอาบัติ (โทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทหรือข้อห้ามแห่งภิกษุ)ไหม สิกขาบทพวกนี้อย่างเช่นว่าเก็บเหง้าบัวในสระไปฉัน หรือว่าเห็นมะม่วงตกในป่าไม่มีใครเป็นเจ้าของเวลาหิวขึ้นมา ไม่มีกัปปิยะการกทำวินัยกรรมก็เอามาฉันอย่างนี้ผิดหรือไม่ผิด สิกขาบทแบบนี้ถ้าจะมองดูแล้วเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับอาหาร โภชนียะ(อาหารควรบริโภค)ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้เกิดการแยกนิกาย ถึงแม้ว่าไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ในครั้งนั้นแต่ท่านปุราณะเห็นว่าไม่เป็นอาบัติ พระจะหุงต้มกินเองในกุฏิ จะเก็บอาหารค้างคืนไว้ฉันวันต่อไป รับประเคนมาจากที่นิมนต์ไปแล้วคล้ายว่าเขานิมนต์ไปฉันที่บ้านแล้ว เสร็จแล้วมีอาหารเหลือพระเก็บใส่ย่ามเพื่อเก็บไว้ฉันต่อที่วัดได้ ท่านปุราณะบอกไม่เป็นอาบัติ จึงเกิดการโต้แย้งกับพระมหากัสสปซึ่งบอกอาบัติตามการทำสังคายนาซึ่งแต่เดิมสิกขาบทเหล่านี้ก็เป็นอาบัติ พระปุราณะอ้างเหตุ เรื่องเกิดที่เมืองเวสาลี เมื่อเกิดเหตุการณ์ข้าวยากหมากแพง พระพุทธองค์ได้มีพุทธานุญาตให้พระสงฆ์เก็บข้าวตังข้าวตูไว้ฉันในกุฏิ เพราะถ้าเอาอาหารไว้นอกกุฏิอาจถูกสัตว์อื่นมาเอาไปกินได้ พระก็จะไม่มีอะไรฉัน จึงทรงอนุญาตให้หุงต้มฉันเองในกุฏิ ถ้ามองตามเหตุการณ์ในขณะนั้นถ้าไปบินฑบาตรก็คงไม่มีใครใส่บาตรเนื่องจากตัวเขาเองก็จะไม่มีข้าวกินอยู่แล้วจะไปเอาข้าวที่ไหนมาใส่บาตร และถ้าไม่มีใครใส่บาตรพระก็ต้องอดข้าวตายได้ จึงต้องหุงต้มกินเอง พระองค์ทรงมีพุทธานุญาตเพราะฉะนั้นท่านปุราณะเห็นว่าเมื่อมีพุทธานุญาตที่เมืองเวสาลีเช่นนี้ ท่านจะถือเอาตามนี้ว่าการประพฤติในข้อที่เป็น “อันโตวุตถะ อันโตปักกะ สามปักกะ อุคคหิตะ ตโตนีหฎะ ปุเรภัตตะ วนัฏฐะ โปกขรัฏฐะ” เหล่านี้ไม่เป็นอาบัติ ถ้าปรับอาบัติทุกกฎบ้าง ปาจิตตีย์ (ลหุอาบัติคืออาบัติที่เมื่อภิกษุต้องแล้วจะต้องบอกแก่ภิกษุด้วยกันจึงจะพ้นจากอาบัตินั้น)บ้างท่านปุราณะบอกประพฤติได้ทั้งนั้น พระมหา- กัสสปบอกไม่ได้ เพราะว่าที่พระพุทธองค์มีพุทธานุญาตให้สงฆ์ทำได้เฉพาะในเหตุการณ์ข้าวแพงหรอกพอสิ้นเหตุการณ์แล้วในวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเรียกพระอานนท์มาถาม ว่าดูก่อนอานนท์ สิกขาบทอันเนื่องด้วย อันโตวุตถะ อันโตปักกะ ฯลฯ เหล่านี้นะ บัดนี้สงฆ์ยังประพฤติอยู่หรือเปล่า พระอานนท์ก็กราบทูลว่าสงฆ์ทั้งปวงยังประพฤติอยู่พระผู้มีพระภาคก็เรียกประชุมสงฆ์ ห้ามใหม่ บอกว่าที่ทรงมีอนุญาตไว้เฉพาะในเหตุการณ์ข้าวแพง บัดนี้ก็พ้นเหตุการณ์นั้นแล้ว ต่อไปนี้ถ้าใครทำล่วงปรับอาบัติทุกกฎบ้าง ปาจิตตีย์บ้าง ตามสมควรแก่สิกขาบท เพราะฉะนั้นพระมหากัสสปก็เอาเรื่องนี้มาปรับความเข้าใจกับท่านปุราณะ ท่านปุราณะบอกตอนที่ทรงบัญญัติห้ามใหม่ท่านไม่เห็นและไม่ได้ฟังจึงถือเฉพาะตอนที่เห็นและอยู่ฟังว่าทรงอนุญาต ท่านปุราณะจึงมีการแยกไปทำสังคายนาอีกแห่งหนึ่ง คณะสงฆ์จึงได้แบ่งเป็น 2 ฝ่ายตั้งแต่พระพุทธเจ้านิพพาน ดังนั้นการทำปฐมสังคายนาจึงอาจเป็นเหตุให้มีการต่างกันทางความคิดแต่ไม่ควรถือว่าเป็นการแบ่งแยกศาสนาแต่อย่างใด
มหาปรินิพพานสูตรกล่าวว่า “อตฺตทีปา วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา” “เธอทั้งหลายจงอยู่อย่างทำตนให้เป็นเกาะ ทำตนให้เป็นที่พึ่ง อย่าทำคนอื่นให้เป็นที่พึ่ง” บรรดาผู้ที่ต้องการเห็น “อัตตา” ในพระพุทธ- ศาสนาก็ได้ตีความคำ “อตฺตทีปา” และคำ “อตฺตสรณา” ว่า “ยึดอัตตาเป็นประทีป” และ “ยึดอัตตาเป็นที่พึ่ง” แต่เมื่อวิเคราะห์ดูจากเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ จะทราบว่าการตีความนั้นอาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เมื่อทรงประทานพระโอวาทเหล่านี้ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อ “เพลุวะ” อยู่ในช่วง 3 เดือนก่อนปรินิพพาน ขณะนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุได้ 80 พรรษากำลังประชวรด้วยโรคร้ายแรงชนิดหนึ่งจนเกือบ จะสิ้นพระชนม์ พระอานนท์พุทธอุปัฏฐาก ได้เข้าไปเฝ้าพระปิยบรมครู นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ถวายการดูแลพระพลานามัยของพระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ถวายการอุปัฏฐากแด่พระผู้มีพระภาคเมื่อประชวรแต่เมื่อข้าพระองค์ได้เห็นพระอาการประชวรของพระผู้มีพระภาค ขอบฟ้าปรากฏมืดมัวแก่ข้าพระองค์ อินทรีย์ทั้งหลายของข้าพระองค์ไม่กระจ่างชัดอีกต่อไป กระนั้นก็ตาม ข้าพระองค์ก็มีความเบาใจอยู่หน่อยหนึ่ง ข้าพระองค์คิดว่าพระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงปรินิพพานจนกว่าจะได้ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์” ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าผู้ทรงประกอบด้วยพระกรุณาปรานีตรัสกับพระอานนท์พุทธอุปัฎฐาก ด้วยพระวาจาสุภาพอ่อนโยนว่า “ดูกรอานนท์ ภิกษุยังจะหวังอะไรจากเราเล่า? เราได้แสดงธรรม (สัจธรรม) ไว้แล้ว โดยไม่ทำความแตกต่างระหว่างสิ่งเปิดเผยกับสิ่งเร้นลับ ในส่วนที่เกี่ยวกับสัจธรรมนั้น ตถาคตไม่มีอะไรที่เหมือนกำมือของอาจารย์ (อาจริยมุฏ.ฐิ) ดูกรอานนท์ หากจะมีผู้ใดคิดว่า เขาจักบริหารภิกษุสงฆ์ได้ และคิดว่าภิกษุสงฆ์จักพึ่งเราได้ก็ขอให้ผู้นั้นกล่าวคำแนะนำอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาแต่ตถาคตไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น เพราะเหตุใดเขาจึงจะต้องให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารภิกษุสงฆ์เล่า? ดูกรอานนท์ บัดนี้เราแก่เฒ่าแล้ว วัยของเราเป็นมาถึง 80 ปีแล้ว เกวียนเก่ายังจะใช้การได้ต่อไปด้วยการซ่อนแซมฉันใด กายของตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังจะเป็นไปได้ก็แต่เพียงด้วยการซ่อมแซมเท่านั้น ดูกรอานนท์ ดังนั้น พวกเธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยการทำตนเป็นเกาะ (สนับสนุน) ทำตนเป็นที่พึ่งอย่าทำผู้อื่นเป็นที่พึ่งเลย จงทำธรรมะเป็นเกาะ (สนับสนุน) ทำธรรมะเป็นที่พึ่ง อย่าได้ทำสิ่งใดเป็นที่พึ่งเลย” นอกจากนั้น พระพุทธเจ้ายังได้ทรงอธิบายแก่พระอานนท์ถึงวิธีการที่จะทำให้คนเราสามารถมีตนเป็นเกาะหรือเป็นที่พึ่ง และวิธีการที่คนเราจะสามารถทำพระธรรมให้เป็นเกาะหรือที่พึ่งได้ ทั้งนี้โดยการเจริญสติปัฏฐาน 4 คือ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา และธัมมานุปัสสนา ด้วยการตีความพระอภิธรรมที่แตกต่างกันและพุทธพจน์ที่จับไม่ชัดความไม่แม่นยำในข้อมูลทำให้อาจตีความผิดได้ จึงเป็นปัญหายุ่งยากอย่างหนึ่งที่ชาวพุทธหลังสมัยพุทธกาล ได้เผชิญทำให้แต่ละนิกายพยายามหาทางออกด้วยการพัฒนาวิธีการตีความเฉพาะของตนขึ้นมา แนวคิดเรื่องการแสดงธรรมด้วย “อุบาย” ของพระพุทธเจ้า เป็นวิธีการตีความแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มชาวพุทธฝ่ายมหายาน แนวคิดนี้มองว่า สัจธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นสิ่งสากลปราศจากความขัดแย้งภารกิจในการเผยแผ่ศาสนาของพระองค์ตั้งแต่ตรัสรู้จนถึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็คือการนำหลักสัจธรรมไปประยุกต์ให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหา บริบทแวดล้อม ความต้องการและอุปนิสัยอันแตกตางหลากหลายของหมู่สัตว์ ดังนั้น เมื่อพบคำสอนที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันเอง ต้องนึกเสมอว่านั่นเป็นรูปแบบการแสดงธรรมด้วยอุบาย จะเข้าใจความ หมายของข้อความเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง ก็ต่อเมื่อได้ทราบบริบทแวดล้อมและเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้าในการแสดงข้อความเหล่านั้น อย่างไรก็ตามแนวคิดเรื่อง “อุบาย” ไม่ได้จำกัดขอบเขตอยู่เพียงการหาทางออกให้ แก่ข้อความที่ขัดแย้งกันเองเท่านั้น หากแต่ได้ขยายขอบเขตเข้าไปสู่ปริมณฑลของการต่อสู้ทางความคิดระหว่าง นิกายอีกด้วย
มหาปรินิพพานสูตรกล่าวถึงที่พระองค์ตรัสว่า “ใครก็สามารถเจริญอิทธิบาทสี่ซึ่งเป็นหลักธรรมและให้นำไปปฏิบัติได้” ท่านจะพูดให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ของพระองค์ และการที่มนุษย์มีฤทธิ์ก็เป็นอีกบุคลิกหนึ่งได้ อย่างพระสาวกของพระองค์ พระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตรก็มีฤทธิ์เหมือนกัน ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่พัฒนาดีแล้ว จะให้มีฤทธิ์ก็ได้ จะให้เหนือกว่ามีฤทธิ์ก็คงได้ เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ จนเทวดาพระพรหมยังมากราบไหว้บูชา ตรงนี้มหาปรินิพพานสูตรของพระองค์ต้องการเน้น จึงมีพุทธพจน์ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ทั้งที่เป็นมนุษย์นี้แหละแต่ได้ฝึกอบรมพระหฤทัยตั้งมั่นถึงที่แล้ว เป็นผู้ฝึกพระองค์ดีแล้ว จนแม้เทพทั้งหลายก็ยังมานมัสการ มหาปรินิพพานสูตรของพระพุทธเจ้าต้องการให้เห็นว่าพระองค์เป็นมนุษย์แต่เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ ที่ได้มีการฝึกฝนพระองค์อย่างดี ส่วนพระสรีระนั้นเป็นไปตามกฎธรรมชาติ และมนุษย์นี่แหละสามารถฝึกตนให้พิเศษได้ แม้เทพยดาทั้งหลาย พระพรหมยังมานมัสการ ถึงแม้แต่จะเป็นใครก็ตามถึงจะมีฤทธิ์จะมีปาฏิหาริย์ใดๆ ในที่สุดร่างกายก็ตกอยู่ใต้กฎธรรมชาติ ดั่งที่พระพุทธองค์ ตรัสว่า “อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ”“ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม” พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีชีวิตอยู่ได้ด้วยความไม่ประมาท ให้ละความชั่วทั้งปวงเพื่อทำให้ตนเองหลุดพ้นจากวัฏสังสารนั่นเองส่วนสังขารก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติ
แนวปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าในมหาปรินิพพานสูตรมหายาน
คำสอนของพระพุทธเข้าในมหาปรินิพพานสูตรของมหายาน เน้นให้พุทธบริษัทได้ปฏิบัติตนให้หลุดพ้นและส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญให้คงอยู่ตลอดไป ดังนั้นพุทธบริษัทต้องทำหน้าที่ในการปฏิบัติตามไปกับการเรียนรู้ในพระธรรมคำสั่งสอน ถ้ารู้แล้วไม่ปฏิบัติก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ เพราะสังขารของเราชาตินี้ เราจะไม่ปฏิบัติธรรมเพื่อโปรดสัตว์หรือ ถ้าสังขารล่วงไปแล้วจะรอชาติไหนค่อยมาโปรด การจะเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยากนัก การปฏิบัตินั้นให้ยึดถือหลักแห่งพระโพธิสัตวภูมิซึ่งเป็นหลักที่พระพุทธศาสนามหายานแต่ละนิกายยอม รับนับถือ มหายานทุกนิกายย่อมมุ่งหมายโพธิสัตวภูมิ ซึ่งเป็นเหตุที่ให้บรรลุพุทธภูมิ บุคคลหนึ่งบุคคลใดที่จะบรรลุถึงพุทธภูมิได้ ต้องผ่านการบำเพ็ญจริยธรรมแห่งพระโพธิสัตว์มาก่อน ดังนั้นจึงถือว่าโพธิสัตวภูมิเป็นเหตุ พุทธภูมิเป็นผล เมื่อบรรลุพุทธภูมิเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมโปรดสัตว์ให้ถึงความหลุดพ้นได้กว้างขวาง และขณะบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ยังสามารถช่วยเหลือสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ในสังสารวัฏได้มากมาย อุดมคติอันเป็นจุดหมายสูงสุดของมหายานจึงอยู่ที่การบำเพ็ญบารมีตามแนวทางพระโพธิสัตว์ เพื่อนำพาสรรพสัตว์สู่ความหลุดพ้นจากวัฏสงสารให้หมดสิ้น
นิกายมหายานถืออุดมคติ 3 ประการ คือ
1. หลักมหาปัญญา ในหลักการข้อนี้ ฝ่ายมหายานได้อธิบายหลักอนัตตาซึ่งเป็นคุณลักษณะ พิเศษในพุทธศาสนาออกไปอย่างกว้างขวางลึกซึ้งมาก พิสดารยิ่งกว่าในฝ่ายเถรวาทมหายาน เรียกว่า ศูนย์ตา แทนคำว่า อนัตตา ในส่วนปฏิบัติของบุคคลทางฝ่ายมหายาน ถือว่าบุคคลจะ พ้นทุกข์ได้ ก็ด้วยการเข้าถึงศูนยตา ซึ่งมี 2 ชั้น คือ บุคคลศูนยตาและธรรมศูนยตา บุคคล ศูนยตาได้แก่การละอัสมิมานะซึ่งทำให้บุคคลบรรลุอรหันต์ส่วนธรรมศูนยตา ได้แก่การละ ความยึดถือแม้ในพระนิพพานซึ่งเป็นภูมิของพระโพธิสัตว์ชั้นสูง
2. หลักมหากรุณา ได้แก่การ ตั้งโพธิจิตมุ่งพุทธภูมิ ไม่มุ่งเพียงอรหันต์ภูมิ ในทัศนะมหายานเห็นว่าอรหันต์ภูมิช่วยคนได้น้อย เพราะฉะนั้นจึงควรมุ่งพุทธภูมิซึ่งในขณะที่ยังมิได้บรรลุต้องสร้างบารมีเพื่อช่วยสัตว์ ดังนั้น ทางฝ่ายมหายานจึงย่อทศบารมีลงเหลือ 6 คือ
2.1 ทานปารมิตา พระโพธิสัตว์จะต้องสละทรัพย์ อวัยวะและชีวิต เพื่อสัตว์โลกได้โดยไม่อาลัย
2.2 ศีลปารมิตา พระโพธิสัตว์ต้องรักษาศีลอันประกอบ ด้วยอินทรีย์สังวรศีล กุศลสังคหศีล ข้อ นี้ได้แก่การทำความดีสงเคราะห์สัตว์ทุกกรณี สัตวสังคหศีลคือการช่วยให้พ้นทุกข์
2.3 กษานติปารมิตา พระโพธิสัตว์ต้องสามารถอดทนต่อสิ่งกดดันเพื่อโปรดสัตว์ได้
2.4 วิริยปารมิตา พระโพธิสัตว์ไม่ย่อท้อต่อพุทธภูมิ ไม่รู้สึกเหนื่อย หน่ายระอาในการช่วยสัตว์
2.5 ธยานปารมิตา พระโพธิสัตว์จะต้องสำเร็จในฌานสมาบัติทุกชั้น มีจิตไม่คลอนแคลน เพราะเหตุอารมณ์
2.6 ปรัชญาปารมิตา พระโพธิสัตว์จะต้องทำให้แจ้งในปุคคลศูนยตาและ ธรรมศูนยตา
3. หลักมหาอุปาย คือพระโพธิสัตว์จะต้องประกอบด้วยกุศโลบายนานัปการ ในการช่วยเหลือ ปวงสัตว์ ต้องประกอบด้วยไหวพริบปฏิภาณในการเข้าถึงอธิมุติของปวงสัตว์เปรียบเหมือน นายแพทย์ผู้ฉลาดรู้จักวางยาให้ถูกโรค มหายานจึงได้เพิ่มเติมคติธรรมและพิธีการซึ่งไม่เคยมีในฝ่ายเถรวาทเข้ามามากมาย โดยถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอุบาย ชักจูงให้ผู้เขลาโน้มเอียงเข้ามาสู่สัจธรรมในเบื้องปลายเท่านั้น ชาวพุทธมหายานต้องเดินแนวทางโพธิสัตว์มรรค เพิ่มเติมจากการเดินในแนวอริยะมรรคเพียงอย่างเดียว และคงยึดมันตามคำสอนของพระโพธิสัตว์โดยต้องปฏิบัติตาม แต่การยอมรับหรือศรัทธาที่มีต่อพระโพธิสัตว์ไม่เท่ากัน ความสำนึกและการแสดงออกจึงต่างกัน จึงอาจเป็นต้นเหตุทำให้มหายานแตกเป็นนิกายต่างๆมากมายในอินเดียในคราวต่อมา
จากการค้นคว้าข้อมูลข้างต้นทำให้พบว่า สารัตถะของสาระที่สำคัญในหลักคำสอนและแนวทางการปฏิบัติของมหายานมีลักษณะของการนำจิตวิทยามาใช้ในสถานการณ์ ณ เวลานั้นๆ เพื่อให้พุทธบริษัทมีศรัทธาและได้ปฏิบัติตาม จึงอาจเป็นเหตุทำให้การตีความในพระธรรมคำสั่งสอนแตกต่างไปจากของเถรวาท เพื่อโน้มน้าวพุทธบริษัทให้คล้อยตามและตั้งใจปฏิบัติตนให้หลุดพ้นจากกิเลสเพื่อเข้าถึงพระนิพพานโดยการร่วมมือกันปฏิบัติเพื่อบรรลุไปด้วยกันและมีการช่วยเหลือกัน โดยใช้แนวทางของพระโพธิสัตว์เป็นหลักซึ่งมีอยู่มากมายเป็นการให้กำลังใจให้ระลึกอยู่เสมอว่าไม่ได้เดินทางคนเดียว ยังมีเพื่อนและหัวหน้านำทางอยู่เสมอ เกิดกำลังใจไม่ย่อท้อ แต่อย่างไรก็ดีเมื่อนึกถึงหลักของความเป็นจริงที่ว่าไม่มีใครสามารถช่วยเราได้ทั้งหมด ทุกอย่างต้องเริ่มด้วยตัวเองก่อนดังพุทธพจน์ที่ว่า “อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ” “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” สติเป็นตัวนำทางในขณะที่ปัญญาเดินอย่างไรให้ถูกทาง แต่จุดหมายปลายทางเหมือนกันคือพระนิพพาน
ดังนั้นกล่าวโดยสรุปได้ว่า จากการศึกษาสารัตถะแห่งมหาปรินิพพานสูตรในพระพุทธศาสนามหายานนี้ทำให้ทราบว่า มหายานก็ได้มีการบัญญัติใจความสำคัญของสูตรนี้คล้ายคลึงกับของเถรวาทและทำให้ทราบถึงปัจจัยของเหตุที่ทำให้เกิดนิกายมหายานที่เกี่ยวกับการตีความพุทธวจนะ (คำพูดที่ออกจากพระโอษฐ์ ของพระพุทธเจ้าโดยตรง) ปาพจน์ (คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นหลักใหญ่) และพระอภิธรรม (หลักธรรม) ในสิ่งที่มหายานคิดและนำไปปฏิบัติซึ่งยังคงมีอีกหลายปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้เกิดนิกายมหายานขึ้น ณ สถานการณ์หนึ่งอาจต่างกรรมต่างวาระกัน ความคิดและแนวทางการปฏิบัติตามหลักคำสอนแห่งพระโพธิสัตว์นั้นมหายานมีคำสอนที่ยืดหยุ่นและเอื้อต่อปุถุชนอยู่มาก ด้วยหลักมหาปัญญา มหากรุณา และ มหาอุบายก็เพื่อต้องการโน้มน้าวพุทธบริษัทให้หันกลับมามีศรัทธาและมุ่งสู่พุทธภูมิโดยที่พระพุทธศาสนานั้นทำให้เกิดความเสมอภาคของบุคคล ไม่มีการแบ่งชนชั้น วรรณะ อีกทั้งยังให้เหตุและผลของการกระทำ ซึ่งนิกายมหายานมีความสามารถในการเข้าถึงบุคคลได้มาก เนื่องด้วยเพราะมีแนวคิดพื้นฐานที่ว่า “ทุกคนมีพุทธภาวะอยู่ในตัว พร้อมที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว” ดังนั้นทุกคนที่เป็นศาสนิกชนของมหายานจึงได้รับความรู้สึกถึงการเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะที่มีแนวทางแบบพระโพธิสัตว์ และมีเป้าหมายให้คนในสังคมโลกสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและเสมอภาคเท่าเทียมกันนั่นเอง
บรรณานุกรม
ผศ.ดร.สุวิญ รักสัตย์. พระพุทธศาสนามหายาน. กรุงเทพฯ:บางกอกบล๊อก. ๒๕๕๕
พระธรรมปิฎกไขปริศนาเงื่อนงำปรินิพพาน. “พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์...ผู้ประเสริญ”.
พุทธศาสนามหายาน-วัชรยาน. Buddhism_Mahayana.
เสถียร โพธินันทะ. ชุมนุมพระสูตรมหายาน. สำนักพิพมพ์บรรณาคาร. 2516. หน้า ฐ-ฑ
สารัตถธรรมมหายาน. พระคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (เย็นเจี่ยว). วัดมังกรกมลาวาส. พ.ศ. ๒๕๑๓. น. ๑๘๒
อภิชัย โพธิ์ประสิทธิ์ศาสตร์. พระพุทธศาสนามหายาน. พิมพ์ครั้งที่ 4. กทม. มหามกกุฏราชวิทยาลัย. 2539.
ภาคผนวก
รายชื่อและประวัติ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ให้สัมภาษณ์
พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (เย็นเต็ก) เจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย เจ้าอาวาสวัดโพธิ์แมนคุณาราม นามเดิม วีระ นามสกุล โพธิฐาญประเสริฐ ฉายา เย็นเต็ก แปลว่า ผู้อดทนในการมีคุณธรรม เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ ณ จังหวัดกาญจนบุรี มีชาติภูมิทางฝ่ายบรรพบุรุษในตระกูลตั้ง อำเภอเก๊กเอี๊ย มณฑลกวางตุ้ง โยมบิดานายเกี๋ยด แซ่ตั้ง โยมมารดานางตวน แซ่ตั้ง อายุ ๗๕ ปีพรรษา ๕๕ ท่านได้บรรพชา – อุปสมบทเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ณ พัทธสีมา วันโพธิ์เย็น อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตรฯ (โพธิ์แจ้งมหาเถระ) อดีตเจ้าคณะใหญ่จีนนิกายรูปที่ ๖ เป็นพระอุปัชฌาย์