วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2557

สารัตถะแห่งมหาปรินิพพานสูตรในพระพุทธศาสนามหายาน


                                       

น.ส.สุนันทา กริชไกรวรรณ
                พุทธศาสนาได้เผยแผ่อิทธิพลมาถึงประเทศไทยตั้งแต่อดีตกาล ชาวไทยเป็นพุทธศาสนิกชนกันตั้งแต่เกิด ได้รับรู้ถึงพุทธศาสนากันตามประเพณี วัฒนธรรมและการเรียนรู้ต่างๆกันตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมา สัมพุทธเจ้า หลังจากที่ได้เริ่มสนใจนำพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติอย่างจริงจัง และสนใจที่จะศึกษาพระพุทธศาสนาโดยการซื้อหนังสือมาอ่าน ไปปฏิบัติธรรมเมื่อถึงคราววันสำคัญทางพุทธศาสนาในวาระต่างกัน จนมีโอกาสได้เดินทางไปจาริกแสวงบุญสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดียและเนปาล ทำให้เกิดความรู้สึกว่าอยากศึกษาพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นอย่างจริงจังเพื่อให้รู้ถึงพระธรรมคำสั่งสอนนั้นจริงๆ จนเมื่อมีโอกาสได้เข้ามาศึกษาวิชาพระพุทธศาสนศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย จึงรู้ว่าพระพุทธศาสนาของเรามีการแบ่งออกเป็นฝ่ายเถรวาทและฝ่ายมหายาน ซึ่งจุดกำเนิดของทั้งสองฝ่ายนั้นมาจากพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวกัน ในขณะที่ฝ่ายเถรวาทได้รักษาและยึดมั่นคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งถ้อยคำ และเนื้อความตามที่ได้ทำสังคายนาไว้โดยเคร่งครัดโดยปรากฎเป็นพระไตรปิฎก ตลอดจนรักษาตัวภาษาดั้งเดิมคือภาษาบาลีและฝ่ายมหายานล่ะเป็นอย่างไร? จึงทำให้เกิดมีคำถามขึ้นมาว่าแล้วอะไรล่ะเป็นมูลเหตุหรือเงื่อนไขที่ทำให้เกิดพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานขึ้นมาหลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ดังปรากฎอยู่ในพระมหาปรินิพพานสูตร ประกอบกับการศึกษาในชั้นเรียนเกี่ยวกับวิชาพุทธศาสนามหายาน ทำให้ทราบว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดนิกายมหายานรวมไปถึงปัจจัยที่เกี่ยวกับปัจฉิมวาจาของพระพุทธเจ้าที่ได้ดำรัส ไว้ในพระธรรมคำสอนต่างๆ การตีความพระอภิธรรมและการนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติของมหายาน

มหาปรินิพพานสูตรในความหมายของมหายาน
                จากการที่ได้สนทนาธรรมกับพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (เย็นเต็ก) เจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย เจ้าอาวาสวันโพธิ์แมนคุณารามเพื่อเรียนถามเกี่ยวกับมหาปรินิพพานสูตรของมหายานว่ามีบัญญัติไว้ในพระไตร ปิฎกนั้นเป็นอย่างไร ท่านได้เมตตาเปิดคัมภีร์ฉบับภาษาจีนและแปลให้ฟังว่า มหาปรินิพพานสูตรนั้นภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกว่า ไตปวงนิพพวง แปลว่า นิพพานสูงสุด ภาษาสันสกฤตเรียกว่า มหาปญฺนิพาน มหาแปลว่าใหญ่ เป็นการสั่งสมบารมีของพระพุทธเจ้าที่มีความสามารถรอบรู้ได้ทุกอย่าง ปญฺ แปลว่าการปฏิบัติของส่วนตัวเราเป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใดในภาวะไหนเราต้องรู้ตัวปฏิบัติให้อยู่ในปญฺ นิพาน แปลว่าสงบ ไม่มีอะไรสงสัย ไม่ต้องรู้แล้วมีคุณธรรมรู้ทุกอย่าง ดังนั้น มหาปญฺนิพานแปลว่า สูตรว่าด้วยเรื่องนิพพานสูงสุดที่มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวที่สามารถทำได้
                การที่จะเข้าถึงมหาปญฺนิพานได้นั้นต้องเป็นผู้ที่ดำเนินวิธีชีวิตได้อย่างสงบตามหลักคำสอนของพระพุทธ ศาสนาได้อย่างดี เป็นผู้ที่สามารถเรียนเหมือนพระพุทธองค์ที่ทรงเทศนาธรรมหมายถึงเรียนรู้แล้วนำมาปฏิบัติได้เป็นการดับขันธ์ด้วยความสงบเสงียมไปในทางที่หมดกิเลสหมดห่วง ดับสิ่งที่ไม่ดีคือการดับกิเลสเป็นคนเยือกเย็นเป็นคนที่รักษาธรรมไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เดือดร้อน เป็นคนรอบรู้คิดถูกต้องแล้วด้วยกาย วาจา ใจทำให้ถูก ต้องไม่มีกิเลสอีกแล้ว ดับสิ่งที่ควรดับคือกิเลสเร้าร้อนทั้งหลายหลุดจากตัวเราไปและจะไม่กลับมาอีกเปรียบ เสมือนคนซ้อนท้ายรถถ้าซ้อนดีก็จะไปด้วยกันตลอดแต่ถ้าซ้อนไม่ดีก็อาจตกลงมาได้ ส่วนสิ่งที่ปฏิบัติไม่ได้ก็ต้องหาทางเพื่อให้หลุดพ้น มีการสรรเสริญผู้ที่มีคุณธรรมว่าท่านสงบเสงียมดี การจะดับสิ่งที่ไม่ดีนั้นในทางมหายานจะถือว่าผู้ที่บำเพ็ญได้ธรรมแล้วจะต้องให้คนอื่นก่อน โปรดสัตว์ทั้งปวงดังนั้นคนที่ปฏิบัติจะรวมกันเป็นกลุ่มเมื่อบรรลุแล้วก็จะได้ทั้งกลุ่มที่ปฏิบัติ แต่ถ้าคนใดยังไม่บรรลุก็จะกลับไปช่วยคนที่ไม่บรรลุโดยการปฏิบัติ เปรียบ เสมือนถังน้ำที่ใส่น้ำว่าถังใดมากกว่าก็ให้ถือว่ามีน้ำมากกว่าแต่ยังถือประโยชน์ไว้ใช้เสมอ ส่วนการจะใหญ่แค่ไหนนั้นก็อยู่ ณ เวลานั้น เหมือนในสมัยพุทธกาลที่มีการทำสังคายนาพระไตรปิฎกซึ่งพระสงฆ์คณะใหญ่พร้อมหมด แล้ว รอแต่พระอานนท์ซึ่งถ้าเข้าไปรวมกับคณะใหญ่ไม่ได้ก็ไม่สามารถทำสังคายนาได้เนื่องจากพระอานนท์เป็นผู้ที่รอบรู้พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สุด

ปัจฉิมวาจาของพระพุทธเจ้าในมหายาน
มหาปรินิพพานสูตร กล่าวว่า พระพุทธเจ้าได้ปรารภขึ้นว่า ดูกรอานนท์ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ถ้าสงฆ์ต้องการ ก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างก็ได้ (มหาปรินิพพานสูตร 10/141) พระอานนท์เถระเจ้าก็มิได้ทูลถามต่อไปว่าสิกขาบทเล็ก น้อยที่พระองค์หมายถึงนะได้แก่สิกขาบทประเภทไหนทำให้เกิดมีปัญหาว่าแค่ไหนเรียกว่าเล็กน้อยเป็นเหตุให้ภิกษุบางรูป (ท่านปุราณะ) ไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับการทำสังคายนาที่พระมหา กัสสปเป็นองค์ประธานมาตั้งแต่ครั้งแรก เพราะท่านไม่ได้เข้าประชุมและรู้เห็นในที่ประชุมด้วย และท่านก็ถือว่าท่านได้ฟังได้รู้ได้เห็นเรื่องพุทธพจน์ จากพระโอษฐ์ของพระศาสดาคนหนึ่งเหมือนกัน ท่านอาจจะถือตามมติของท่าน ดังนั้นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งของการแยกนิกายตั้งแต่ปฐมสังคายนาแล้ว รายละเอียดในข้อที่ท่านปุราณะ โต้แย้งกับพระมหากัสสปเรื่องวินัยเล็กน้อย คือสิกขาบทว่าด้วย อันโตวุตถะ  อันโตปักกะ  สามปักกะ อุคคหิตะ ตโตนีหฎะ ปุเรภัตตะ วนัฏฐะ โปกขรัฏฐะ สิกขาบทที่ว่าด้วยการหุงต้มการเก็บของขบฉันในกุฏิ หมายความว่า พระเก็บของอาหารไว้ฉันในกุฏิได้ไหม พระหุงต้มเองฉันในกุฏิได้ไหม ถ้าไม่มีกัปปิยะการก (ผู้ปฏิบัติภิกษุในเรื่องปัจจัย ๔ คือ จีวร อาหาร ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรค) มีผลไม้ที่ยังไม่ทำตามวินัยกรรม (การกระทำเพื่อให้ถูกต้องตามพระวินัย) อยู่ๆเก็บไปฉันเป็นอาบัติ (โทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทหรือข้อห้ามแห่งภิกษุ)ไหม สิกขาบทพวกนี้อย่างเช่นว่าเก็บเหง้าบัวในสระไปฉัน หรือว่าเห็นมะม่วงตกในป่าไม่มีใครเป็นเจ้าของเวลาหิวขึ้นมา ไม่มีกัปปิยะการกทำวินัยกรรมก็เอามาฉันอย่างนี้ผิดหรือไม่ผิด สิกขาบทแบบนี้ถ้าจะมองดูแล้วเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับอาหาร โภชนียะ(อาหารควรบริโภค)ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้เกิดการแยกนิกาย ถึงแม้ว่าไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ในครั้งนั้นแต่ท่านปุราณะเห็นว่าไม่เป็นอาบัติ พระจะหุงต้มกินเองในกุฏิ จะเก็บอาหารค้างคืนไว้ฉันวันต่อไป รับประเคนมาจากที่นิมนต์ไปแล้วคล้ายว่าเขานิมนต์ไปฉันที่บ้านแล้ว เสร็จแล้วมีอาหารเหลือพระเก็บใส่ย่ามเพื่อเก็บไว้ฉันต่อที่วัดได้ ท่านปุราณะบอกไม่เป็นอาบัติ จึงเกิดการโต้แย้งกับพระมหากัสสปซึ่งบอกอาบัติตามการทำสังคายนาซึ่งแต่เดิมสิกขาบทเหล่านี้ก็เป็นอาบัติ พระปุราณะอ้างเหตุ เรื่องเกิดที่เมืองเวสาลี เมื่อเกิดเหตุการณ์ข้าวยากหมากแพง พระพุทธองค์ได้มีพุทธานุญาตให้พระสงฆ์เก็บข้าวตังข้าวตูไว้ฉันในกุฏิ เพราะถ้าเอาอาหารไว้นอกกุฏิอาจถูกสัตว์อื่นมาเอาไปกินได้ พระก็จะไม่มีอะไรฉัน จึงทรงอนุญาตให้หุงต้มฉันเองในกุฏิ ถ้ามองตามเหตุการณ์ในขณะนั้นถ้าไปบินฑบาตรก็คงไม่มีใครใส่บาตรเนื่องจากตัวเขาเองก็จะไม่มีข้าวกินอยู่แล้วจะไปเอาข้าวที่ไหนมาใส่บาตร และถ้าไม่มีใครใส่บาตรพระก็ต้องอดข้าวตายได้ จึงต้องหุงต้มกินเอง พระองค์ทรงมีพุทธานุญาตเพราะฉะนั้นท่านปุราณะเห็นว่าเมื่อมีพุทธานุญาตที่เมืองเวสาลีเช่นนี้ ท่านจะถือเอาตามนี้ว่าการประพฤติในข้อที่เป็น อันโตวุตถะ  อันโตปักกะ  สามปักกะ อุคคหิตะ ตโตนีหฎะ ปุเรภัตตะ วนัฏฐะ โปกขรัฏฐะ เหล่านี้ไม่เป็นอาบัติ ถ้าปรับอาบัติทุกกฎบ้าง ปาจิตตีย์ (ลหุอาบัติคืออาบัติที่เมื่อภิกษุต้องแล้วจะต้องบอกแก่ภิกษุด้วยกันจึงจะพ้นจากอาบัตินั้น)บ้างท่านปุราณะบอกประพฤติได้ทั้งนั้น พระมหา- กัสสปบอกไม่ได้ เพราะว่าที่พระพุทธองค์มีพุทธานุญาตให้สงฆ์ทำได้เฉพาะในเหตุการณ์ข้าวแพงหรอกพอสิ้นเหตุการณ์แล้วในวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเรียกพระอานนท์มาถาม ว่าดูก่อนอานนท์ สิกขาบทอันเนื่องด้วย อันโตวุตถะ  อันโตปักกะ ฯลฯ เหล่านี้นะ บัดนี้สงฆ์ยังประพฤติอยู่หรือเปล่า พระอานนท์ก็กราบทูลว่าสงฆ์ทั้งปวงยังประพฤติอยู่พระผู้มีพระภาคก็เรียกประชุมสงฆ์ ห้ามใหม่ บอกว่าที่ทรงมีอนุญาตไว้เฉพาะในเหตุการณ์ข้าวแพง บัดนี้ก็พ้นเหตุการณ์นั้นแล้ว ต่อไปนี้ถ้าใครทำล่วงปรับอาบัติทุกกฎบ้าง ปาจิตตีย์บ้าง ตามสมควรแก่สิกขาบท เพราะฉะนั้นพระมหากัสสปก็เอาเรื่องนี้มาปรับความเข้าใจกับท่านปุราณะ ท่านปุราณะบอกตอนที่ทรงบัญญัติห้ามใหม่ท่านไม่เห็นและไม่ได้ฟังจึงถือเฉพาะตอนที่เห็นและอยู่ฟังว่าทรงอนุญาต ท่านปุราณะจึงมีการแยกไปทำสังคายนาอีกแห่งหนึ่ง คณะสงฆ์จึงได้แบ่งเป็น 2 ฝ่ายตั้งแต่พระพุทธเจ้านิพพาน ดังนั้นการทำปฐมสังคายนาจึงอาจเป็นเหตุให้มีการต่างกันทางความคิดแต่ไม่ควรถือว่าเป็นการแบ่งแยกศาสนาแต่อย่างใด
มหาปรินิพพานสูตรกล่าวว่า อตฺตทีปา วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา เธอทั้งหลายจงอยู่อย่างทำตนให้เป็นเกาะ ทำตนให้เป็นที่พึ่ง อย่าทำคนอื่นให้เป็นที่พึ่งบรรดาผู้ที่ต้องการเห็นอัตตาในพระพุทธ- ศาสนาก็ได้ตีความคำอตฺตทีปาและคำอตฺตสรณาว่ายึดอัตตาเป็นประทีปและยึดอัตตาเป็นที่พึ่ง แต่เมื่อวิเคราะห์ดูจากเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ จะทราบว่าการตีความนั้นอาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เมื่อทรงประทานพระโอวาทเหล่านี้ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อ เพลุวะ อยู่ในช่วง 3 เดือนก่อนปรินิพพาน ขณะนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุได้ 80 พรรษากำลังประชวรด้วยโรคร้ายแรงชนิดหนึ่งจนเกือบ จะสิ้นพระชนม์ พระอานนท์พุทธอุปัฏฐาก ได้เข้าไปเฝ้าพระปิยบรมครู นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ถวายการดูแลพระพลานามัยของพระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ถวายการอุปัฏฐากแด่พระผู้มีพระภาคเมื่อประชวรแต่เมื่อข้าพระองค์ได้เห็นพระอาการประชวรของพระผู้มีพระภาค ขอบฟ้าปรากฏมืดมัวแก่ข้าพระองค์ อินทรีย์ทั้งหลายของข้าพระองค์ไม่กระจ่างชัดอีกต่อไป กระนั้นก็ตาม ข้าพระองค์ก็มีความเบาใจอยู่หน่อยหนึ่ง ข้าพระองค์คิดว่าพระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงปรินิพพานจนกว่าจะได้ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าผู้ทรงประกอบด้วยพระกรุณาปรานีตรัสกับพระอานนท์พุทธอุปัฎฐาก ด้วยพระวาจาสุภาพอ่อนโยนว่าดูกรอานนท์ ภิกษุยังจะหวังอะไรจากเราเล่า? เราได้แสดงธรรม (สัจธรรม) ไว้แล้ว โดยไม่ทำความแตกต่างระหว่างสิ่งเปิดเผยกับสิ่งเร้นลับ ในส่วนที่เกี่ยวกับสัจธรรมนั้น ตถาคตไม่มีอะไรที่เหมือนกำมือของอาจารย์ (อาจริยมุฏ.ฐิ) ดูกรอานนท์ หากจะมีผู้ใดคิดว่า เขาจักบริหารภิกษุสงฆ์ได้ และคิดว่าภิกษุสงฆ์จักพึ่งเราได้ก็ขอให้ผู้นั้นกล่าวคำแนะนำอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาแต่ตถาคตไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น เพราะเหตุใดเขาจึงจะต้องให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารภิกษุสงฆ์เล่า? ดูกรอานนท์ บัดนี้เราแก่เฒ่าแล้ว วัยของเราเป็นมาถึง 80 ปีแล้ว เกวียนเก่ายังจะใช้การได้ต่อไปด้วยการซ่อนแซมฉันใด กายของตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังจะเป็นไปได้ก็แต่เพียงด้วยการซ่อมแซมเท่านั้น ดูกรอานนท์ ดังนั้น พวกเธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยการทำตนเป็นเกาะ (สนับสนุน) ทำตนเป็นที่พึ่งอย่าทำผู้อื่นเป็นที่พึ่งเลย จงทำธรรมะเป็นเกาะ (สนับสนุน) ทำธรรมะเป็นที่พึ่ง อย่าได้ทำสิ่งใดเป็นที่พึ่งเลย นอกจากนั้น พระพุทธเจ้ายังได้ทรงอธิบายแก่พระอานนท์ถึงวิธีการที่จะทำให้คนเราสามารถมีตนเป็นเกาะหรือเป็นที่พึ่ง และวิธีการที่คนเราจะสามารถทำพระธรรมให้เป็นเกาะหรือที่พึ่งได้ ทั้งนี้โดยการเจริญสติปัฏฐาน 4 คือ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา และธัมมานุปัสสนา ด้วยการตีความพระอภิธรรมที่แตกต่างกันและพุทธพจน์ที่จับไม่ชัดความไม่แม่นยำในข้อมูลทำให้อาจตีความผิดได้ จึงเป็นปัญหายุ่งยากอย่างหนึ่งที่ชาวพุทธหลังสมัยพุทธกาล ได้เผชิญทำให้แต่ละนิกายพยายามหาทางออกด้วยการพัฒนาวิธีการตีความเฉพาะของตนขึ้นมา แนวคิดเรื่องการแสดงธรรมด้วย อุบายของพระพุทธเจ้า เป็นวิธีการตีความแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มชาวพุทธฝ่ายมหายาน แนวคิดนี้มองว่า สัจธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นสิ่งสากลปราศจากความขัดแย้งภารกิจในการเผยแผ่ศาสนาของพระองค์ตั้งแต่ตรัสรู้จนถึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็คือการนำหลักสัจธรรมไปประยุกต์ให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพปัญหา บริบทแวดล้อม ความต้องการและอุปนิสัยอันแตกตางหลากหลายของหมู่สัตว์ ดังนั้น เมื่อพบคำสอนที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันเอง ต้องนึกเสมอว่านั่นเป็นรูปแบบการแสดงธรรมด้วยอุบาย จะเข้าใจความ หมายของข้อความเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง ก็ต่อเมื่อได้ทราบบริบทแวดล้อมและเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้าในการแสดงข้อความเหล่านั้น อย่างไรก็ตามแนวคิดเรื่อง อุบายไม่ได้จำกัดขอบเขตอยู่เพียงการหาทางออกให้ แก่ข้อความที่ขัดแย้งกันเองเท่านั้น หากแต่ได้ขยายขอบเขตเข้าไปสู่ปริมณฑลของการต่อสู้ทางความคิดระหว่าง นิกายอีกด้วย
มหาปรินิพพานสูตรกล่าวถึงที่พระองค์ตรัสว่า ใครก็สามารถเจริญอิทธิบาทสี่ซึ่งเป็นหลักธรรมและให้นำไปปฏิบัติได้ ท่านจะพูดให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ของพระองค์ และการที่มนุษย์มีฤทธิ์ก็เป็นอีกบุคลิกหนึ่งได้ อย่างพระสาวกของพระองค์ พระโมคคัลลานะกับพระสารีบุตรก็มีฤทธิ์เหมือนกัน ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่พัฒนาดีแล้ว จะให้มีฤทธิ์ก็ได้ จะให้เหนือกว่ามีฤทธิ์ก็คงได้ เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ จนเทวดาพระพรหมยังมากราบไหว้บูชา ตรงนี้มหาปรินิพพานสูตรของพระองค์ต้องการเน้น จึงมีพุทธพจน์ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ทั้งที่เป็นมนุษย์นี้แหละแต่ได้ฝึกอบรมพระหฤทัยตั้งมั่นถึงที่แล้ว เป็นผู้ฝึกพระองค์ดีแล้ว จนแม้เทพทั้งหลายก็ยังมานมัสการ มหาปรินิพพานสูตรของพระพุทธเจ้าต้องการให้เห็นว่าพระองค์เป็นมนุษย์แต่เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ ที่ได้มีการฝึกฝนพระองค์อย่างดี ส่วนพระสรีระนั้นเป็นไปตามกฎธรรมชาติ และมนุษย์นี่แหละสามารถฝึกตนให้พิเศษได้ แม้เทพยดาทั้งหลาย พระพรหมยังมานมัสการ ถึงแม้แต่จะเป็นใครก็ตามถึงจะมีฤทธิ์จะมีปาฏิหาริย์ใดๆ ในที่สุดร่างกายก็ตกอยู่ใต้กฎธรรมชาติ ดั่งที่พระพุทธองค์ ตรัสว่า อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ”“ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมพระพุทธเจ้าสอนให้เรามีชีวิตอยู่ได้ด้วยความไม่ประมาท ให้ละความชั่วทั้งปวงเพื่อทำให้ตนเองหลุดพ้นจากวัฏสังสารนั่นเองส่วนสังขารก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติ

แนวปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าในมหาปรินิพพานสูตรมหายาน
คำสอนของพระพุทธเข้าในมหาปรินิพพานสูตรของมหายาน เน้นให้พุทธบริษัทได้ปฏิบัติตนให้หลุดพ้นและส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญให้คงอยู่ตลอดไป ดังนั้นพุทธบริษัทต้องทำหน้าที่ในการปฏิบัติตามไปกับการเรียนรู้ในพระธรรมคำสั่งสอน ถ้ารู้แล้วไม่ปฏิบัติก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ เพราะสังขารของเราชาตินี้ เราจะไม่ปฏิบัติธรรมเพื่อโปรดสัตว์หรือ ถ้าสังขารล่วงไปแล้วจะรอชาติไหนค่อยมาโปรด การจะเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยากนัก การปฏิบัตินั้นให้ยึดถือหลักแห่งพระโพธิสัตวภูมิซึ่งเป็นหลักที่พระพุทธศาสนามหายานแต่ละนิกายยอม รับนับถือ มหายานทุกนิกายย่อมมุ่งหมายโพธิสัตวภูมิ ซึ่งเป็นเหตุที่ให้บรรลุพุทธภูมิ บุคคลหนึ่งบุคคลใดที่จะบรรลุถึงพุทธภูมิได้ ต้องผ่านการบำเพ็ญจริยธรรมแห่งพระโพธิสัตว์มาก่อน ดังนั้นจึงถือว่าโพธิสัตวภูมิเป็นเหตุ พุทธภูมิเป็นผล เมื่อบรรลุพุทธภูมิเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมโปรดสัตว์ให้ถึงความหลุดพ้นได้กว้างขวาง และขณะบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ยังสามารถช่วยเหลือสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ในสังสารวัฏได้มากมาย อุดมคติอันเป็นจุดหมายสูงสุดของมหายานจึงอยู่ที่การบำเพ็ญบารมีตามแนวทางพระโพธิสัตว์ เพื่อนำพาสรรพสัตว์สู่ความหลุดพ้นจากวัฏสงสารให้หมดสิ้น
นิกายมหายานถืออุดมคติ 3 ประการ คือ
1. หลักมหาปัญญา ในหลักการข้อนี้ ฝ่ายมหายานได้อธิบายหลักอนัตตาซึ่งเป็นคุณลักษณะ พิเศษในพุทธศาสนาออกไปอย่างกว้างขวางลึกซึ้งมาก พิสดารยิ่งกว่าในฝ่ายเถรวาทมหายาน เรียกว่า ศูนย์ตา แทนคำว่า อนัตตา ในส่วนปฏิบัติของบุคคลทางฝ่ายมหายาน ถือว่าบุคคลจะ พ้นทุกข์ได้ ก็ด้วยการเข้าถึงศูนยตา ซึ่งมี 2 ชั้น คือ บุคคลศูนยตาและธรรมศูนยตา บุคคล ศูนยตาได้แก่การละอัสมิมานะซึ่งทำให้บุคคลบรรลุอรหันต์ส่วนธรรมศูนยตา ได้แก่การละ ความยึดถือแม้ในพระนิพพานซึ่งเป็นภูมิของพระโพธิสัตว์ชั้นสูง
2. หลักมหากรุณา ได้แก่การ ตั้งโพธิจิตมุ่งพุทธภูมิ ไม่มุ่งเพียงอรหันต์ภูมิ ในทัศนะมหายานเห็นว่าอรหันต์ภูมิช่วยคนได้น้อย เพราะฉะนั้นจึงควรมุ่งพุทธภูมิซึ่งในขณะที่ยังมิได้บรรลุต้องสร้างบารมีเพื่อช่วยสัตว์ ดังนั้น ทางฝ่ายมหายานจึงย่อทศบารมีลงเหลือ 6 คือ
2.1 ทานปารมิตา พระโพธิสัตว์จะต้องสละทรัพย์ อวัยวะและชีวิต เพื่อสัตว์โลกได้โดยไม่อาลัย
2.2 ศีลปารมิตา พระโพธิสัตว์ต้องรักษาศีลอันประกอบ ด้วยอินทรีย์สังวรศีล กุศลสังคหศีล ข้อ นี้ได้แก่การทำความดีสงเคราะห์สัตว์ทุกกรณี สัตวสังคหศีลคือการช่วยให้พ้นทุกข์
2.3 กษานติปารมิตา พระโพธิสัตว์ต้องสามารถอดทนต่อสิ่งกดดันเพื่อโปรดสัตว์ได้
2.4 วิริยปารมิตา พระโพธิสัตว์ไม่ย่อท้อต่อพุทธภูมิ ไม่รู้สึกเหนื่อย หน่ายระอาในการช่วยสัตว์
2.5 ธยานปารมิตา พระโพธิสัตว์จะต้องสำเร็จในฌานสมาบัติทุกชั้น มีจิตไม่คลอนแคลน เพราะเหตุอารมณ์
2.6 ปรัชญาปารมิตา พระโพธิสัตว์จะต้องทำให้แจ้งในปุคคลศูนยตาและ ธรรมศูนยตา
3. หลักมหาอุปาย คือพระโพธิสัตว์จะต้องประกอบด้วยกุศโลบายนานัปการ ในการช่วยเหลือ ปวงสัตว์ ต้องประกอบด้วยไหวพริบปฏิภาณในการเข้าถึงอธิมุติของปวงสัตว์เปรียบเหมือน นายแพทย์ผู้ฉลาดรู้จักวางยาให้ถูกโรค มหายานจึงได้เพิ่มเติมคติธรรมและพิธีการซึ่งไม่เคยมีในฝ่ายเถรวาทเข้ามามากมาย โดยถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอุบาย ชักจูงให้ผู้เขลาโน้มเอียงเข้ามาสู่สัจธรรมในเบื้องปลายเท่านั้น ชาวพุทธมหายานต้องเดินแนวทางโพธิสัตว์มรรค เพิ่มเติมจากการเดินในแนวอริยะมรรคเพียงอย่างเดียว และคงยึดมันตามคำสอนของพระโพธิสัตว์โดยต้องปฏิบัติตาม แต่การยอมรับหรือศรัทธาที่มีต่อพระโพธิสัตว์ไม่เท่ากัน ความสำนึกและการแสดงออกจึงต่างกัน จึงอาจเป็นต้นเหตุทำให้มหายานแตกเป็นนิกายต่างๆมากมายในอินเดียในคราวต่อมา
จากการค้นคว้าข้อมูลข้างต้นทำให้พบว่า สารัตถะของสาระที่สำคัญในหลักคำสอนและแนวทางการปฏิบัติของมหายานมีลักษณะของการนำจิตวิทยามาใช้ในสถานการณ์ ณ เวลานั้นๆ เพื่อให้พุทธบริษัทมีศรัทธาและได้ปฏิบัติตาม จึงอาจเป็นเหตุทำให้การตีความในพระธรรมคำสั่งสอนแตกต่างไปจากของเถรวาท เพื่อโน้มน้าวพุทธบริษัทให้คล้อยตามและตั้งใจปฏิบัติตนให้หลุดพ้นจากกิเลสเพื่อเข้าถึงพระนิพพานโดยการร่วมมือกันปฏิบัติเพื่อบรรลุไปด้วยกันและมีการช่วยเหลือกัน โดยใช้แนวทางของพระโพธิสัตว์เป็นหลักซึ่งมีอยู่มากมายเป็นการให้กำลังใจให้ระลึกอยู่เสมอว่าไม่ได้เดินทางคนเดียว ยังมีเพื่อนและหัวหน้านำทางอยู่เสมอ เกิดกำลังใจไม่ย่อท้อ แต่อย่างไรก็ดีเมื่อนึกถึงหลักของความเป็นจริงที่ว่าไม่มีใครสามารถช่วยเราได้ทั้งหมด ทุกอย่างต้องเริ่มด้วยตัวเองก่อนดังพุทธพจน์ที่ว่า อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ” “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน สติเป็นตัวนำทางในขณะที่ปัญญาเดินอย่างไรให้ถูกทาง แต่จุดหมายปลายทางเหมือนกันคือพระนิพพาน
  ดังนั้นกล่าวโดยสรุปได้ว่า จากการศึกษาสารัตถะแห่งมหาปรินิพพานสูตรในพระพุทธศาสนามหายานนี้ทำให้ทราบว่า มหายานก็ได้มีการบัญญัติใจความสำคัญของสูตรนี้คล้ายคลึงกับของเถรวาทและทำให้ทราบถึงปัจจัยของเหตุที่ทำให้เกิดนิกายมหายานที่เกี่ยวกับการตีความพุทธวจนะ (คำพูดที่ออกจากพระโอษฐ์ ของพระพุทธเจ้าโดยตรง) ปาพจน์ (คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นหลักใหญ่) และพระอภิธรรม (หลักธรรม) ในสิ่งที่มหายานคิดและนำไปปฏิบัติซึ่งยังคงมีอีกหลายปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้เกิดนิกายมหายานขึ้น ณ สถานการณ์หนึ่งอาจต่างกรรมต่างวาระกัน  ความคิดและแนวทางการปฏิบัติตามหลักคำสอนแห่งพระโพธิสัตว์นั้นมหายานมีคำสอนที่ยืดหยุ่นและเอื้อต่อปุถุชนอยู่มาก ด้วยหลักมหาปัญญา มหากรุณา และ มหาอุบายก็เพื่อต้องการโน้มน้าวพุทธบริษัทให้หันกลับมามีศรัทธาและมุ่งสู่พุทธภูมิโดยที่พระพุทธศาสนานั้นทำให้เกิดความเสมอภาคของบุคคล ไม่มีการแบ่งชนชั้น วรรณะ อีกทั้งยังให้เหตุและผลของการกระทำ  ซึ่งนิกายมหายานมีความสามารถในการเข้าถึงบุคคลได้มาก เนื่องด้วยเพราะมีแนวคิดพื้นฐานที่ว่า ทุกคนมีพุทธภาวะอยู่ในตัว พร้อมที่จะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว ดังนั้นทุกคนที่เป็นศาสนิกชนของมหายานจึงได้รับความรู้สึกถึงการเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะที่มีแนวทางแบบพระโพธิสัตว์ และมีเป้าหมายให้คนในสังคมโลกสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขและเสมอภาคเท่าเทียมกันนั่นเอง








บรรณานุกรม
ผศ.ดร.สุวิญ รักสัตย์. พระพุทธศาสนามหายาน. กรุงเทพฯ:บางกอกบล๊อก. ๒๕๕๕
พระธรรมปิฎกไขปริศนาเงื่อนงำปรินิพพาน. พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์...ผู้ประเสริญ.
พุทธศาสนามหายาน-วัชรยาน. Buddhism_Mahayana.
เสถียร โพธินันทะ. ชุมนุมพระสูตรมหายาน. สำนักพิพมพ์บรรณาคาร. 2516. หน้า ฐ-ฑ
สารัตถธรรมมหายาน. พระคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (เย็นเจี่ยว). วัดมังกรกมลาวาส. พ.ศ. ๒๕๑๓. น. ๑๘๒
อภิชัย โพธิ์ประสิทธิ์ศาสตร์. พระพุทธศาสนามหายาน. พิมพ์ครั้งที่ 4. กทม. มหามกกุฏราชวิทยาลัย. 2539.


ภาคผนวก
รายชื่อและประวัติ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ให้สัมภาษณ์

                พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (เย็นเต็ก) เจ้าคณะใหญ่จีนนิกาย เจ้าอาวาสวัดโพธิ์แมนคุณาราม นามเดิม วีระ นามสกุล โพธิฐาญประเสริฐ ฉายา เย็นเต็ก แปลว่า ผู้อดทนในการมีคุณธรรม เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๙ ณ จังหวัดกาญจนบุรี มีชาติภูมิทางฝ่ายบรรพบุรุษในตระกูลตั้ง อำเภอเก๊กเอี๊ย มณฑลกวางตุ้ง โยมบิดานายเกี๋ยด แซ่ตั้ง โยมมารดานางตวน แซ่ตั้ง อายุ ๗๕ ปีพรรษา ๕๕ ท่านได้บรรพชา – อุปสมบทเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ณ พัทธสีมา วันโพธิ์เย็น อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตรฯ (โพธิ์แจ้งมหาเถระ) อดีตเจ้าคณะใหญ่จีนนิกายรูปที่ ๖ เป็นพระอุปัชฌาย์


                                                               

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หัวใจพระพุทธศาสนากับอริยสัจจ์ ๔



สุนันทา กริชไกรวรรณ[๑]
หัวใจพระพุทธศาสนา
 พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร หัวใจพระพุทธศาสนาคืออะไร เป็นคำถามที่ได้ยิน เสมอทั้ง ในหมู่ของผู้ปฏิบัติธรรมและผู้ศึกษาพระพุทธศาสนา คำตอบอาจได้รับ  แตก ต่างกันไปตามฐานความรู้และจุดมุ่งหมายของผู้ตอบในขณะนั้น ๆ ความ สำคัญ จึงอยู่ที่ว่า เมื่อทราบแล้วมีความเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวผู้ถามและผู้ตอบหรือไม่ คำว่า “หัวใจพระพุทธศาสนา” สื่อถึงชีวิตของพระพุทธศาสนา เพราะเมื่อมีหัวใจก็ย่อม มีชีวิต เมื่อไร้หัวใจก็ไร้ชีวิต พระพุทธศาสนาที่มีชีวิตก็คือพระพุทธศาสนาที่อยู่กับชีวิต ของพุทธบริษัทอย่างมีความหมาย มิใช่อยู่อย่างไรความหมาย มิใช่เป็นเพียงตัว หนังสือที่ไร้ชีวิต หรือเป็นเพียงข้อความที่บอกเล่าสืบต่อกันมา


ชีวิตจึงเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับพระพุทธศาสนาอย่างเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะชีวิตคือธรรมชาติอย่างหนึ่งที่มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ธรรมชาตินี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบและนำมาแสดง ดังที่พุทธพจน์ในธรรมนิยามสูตรว่า “อุปปาทา วา ภิกฺขเว ตถาคตานัง อนุปฺทา วา ตถาคตานัง ฐิตา ว สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา...ตัง ตถาคโต อภิสัมพุชฌติ อภิสเมติ อภิสัมพุชฺฌิตวา อภิสเมตวา อาจิกขติ เทเสติ ปัญฺญเปติ ปัฏฐเปติ วิรติ วภชติ อุตฺตานีกโรติ[๒] แปลความว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไม่ว่าตถาคตจะอุบัติขึ้นหรือไม่ก็ตาม ธาตุนั้นเขาตั้งอยู่แล้ว เพราะเป็นของตั้งมั่นแห่งธรรม เพราะเป็นกฎธรรมชาติ...พระตถาคตเจ้าได้ตรัสรู้ ตรวจสอบ ครั้นตรัสรู้และตรวจสอบแล้ว จึงเปิดเผย จำแนก แสดง บัญญัติและทำให้เข้าใจง่าย เพื่อประโยชน์อะไร ก็เพื่อให้รู้จักชีวิตและบริหารชีวิตนี้ให้ดี ไม่ให้เป็นทุกข์ หลวงพ่อพุทธทาสได้กล่าวย้ำเสมอว่า ทุกข์นี้เกิดจากการเข้าไปยึดขันธ์ว่า เป็น อัตตา เป็นตัวกู ของกู พระพุทธศาสนาก็คือการปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์คือการเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์นี่เอง ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า แล้วจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะพ้นจากทุกข์ จุดนี้เองจึงเกี่ยวกับหลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา ได้แก่ อริยสัจ ๔ อาจกล่าวได้ว่า วันอาสาฬหบูชาจึงเป็นวันที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมคือ วิธีการหลุดพ้นจากทุกข์นั่นเอง

อริยสัจ ๔        
          อริยสัจแปลว่า ความจริงอันประเสริฐหรือความจริงของพระอริยบุคคล หมายความว่า ถ้าผู้ใดสามารถรู้อริยสัจ ๔ ด้วยปัญญา  ผู้นั้นก็จะเป็นพระอริยบุคคลและที่ทำให้เป็นผู้ประเสริฐนั้นก็เพราะ ในขณะที่รู้ อริยสัจ ๔  กิเลสทั้งหลายก็ถูกทำลายหายไปจากจิตของผู้นั้นด้วย ทำให้จิตมีสภาพใสสะอาด บริสุทธิ์ พ้นจากสภาพสามัญชนกลายเป็นพระอริยบุคคลหรือเป็นบุคคลที่ประเสริฐ อริยสัจดังกล่าวนี้  พระโพธิสัตว์สิทธัตถะ หรือสิทธัตถะดาบสทรงเป็นผู้ค้นพบหรือได้ตรัสรู้เป็นบุคคลแรกในโลกจึงทำให้พระองค์กลายเป็นพระพุทธเจ้า  หรือเป็นบุคคลผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย อริยสัจ ๔ ประกอบไปด้วยสัจธรรมดังนี้
๑. ทุกขอริยสัจ พระพุทธเจ้าเห็นว่า ปัญหาพื้นฐานของโลกนี้คือ ทุกข์ ทุกชีวิตเกิดมาในโลกนี้ล้วนมีปัญหา มีทั้งปัญหาสากลเช่น การเกิดต้องดิ้นรนหาปัจจัย เพื่อตอบสนองความต้องการทางกายทางใจ การแก่ ไม่ว่าแก่ขึ้นหรือแก่ลง การเจ็บไข้ได้ป่วย ความกลัวตาย ความคับแค้นใจคับข้องใจ การได้การพบกับสิ่งที่เราไม่ชอบ ไม่รัก ไม่ต้องการ สิ่งที่เราเกลียดกลัว การพลัดพราก สูญเสียสิ่งที่รักที่ชอบ การปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้นทุกอย่างที่กล่าวล้วนเป็นทุกข์ และปัญหาเล็กๆ น้อยๆ สรุปแล้วทุกข์เป็นตัวปัญหา ดั้งนั้นต้องทำให้รู้ (ปริญเญยยธรรม)
๒. สมุทัย สาเหตุของปัญหา หรือ เหตุแห่งทุกข์  ปัญหามีสาเหตุ มิใช่เกิดขึ้นมาโดยความบังเอิญแต่เป็นเพราะเรามองไม่เห็นไม่เข้าใจปัจจัยของปัญหา จึงคิดว่าปัญหานั้นเกิดขึ้นโดยบังเอิญ  สาเหตุสำคัญได้แก่ อนิจจัง คือความไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายที่ประกอบด้วย ธาตุต่างๆมารวมกันย่อม ไม่เสถียร ต้องเสื่อมสลายหรือเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา กลไกของธรรมชาติสร้างให้คนเรา เพลิดเพลินในอารมณ์ จนเกิดอุปาทานยึดติดสิ่งต่างๆเหล่านั้น เป็น อัตตา เป็นตัวกูของกู เกิดกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดตัณหา ความทะยานอยาก จึงเป็นทุกข์ การแก้ปัญหาคือต้องแก้ที่สาเหตุต่างๆเหล่านี้ ดังนั้นต้องกำหนดละ (ปหาตัพพธรรม)
๓. นิโรธ  มนุษย์สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง เนื่องจากปัญหาทุกปัญหาย่อมมีสาเหตุ การแก้ปัญหาได้ต้องสืบสาวหาสาเหตุให้พบ แล้วแก้ปัญหาที่สาเหตุนั้น พระพุทธศาสนาสอนไว้ว่า มนุษย์มีศักยภาพหรือความสามารถเพียงพอที่จะแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยตัวมนุษย์เองโดยมิต้องพึ่งพา ผีสางเทวดาหรืออำนาจ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ มาดลบันดาล จึงต้องกำหนดสภาวะที่เป็นเป้าหมายสูงสุดที่ต้องบรรลุ เพื่อพ้นจากปัญหาอันได้แก่ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง เป็นสภาวะของการดับทุกข์โดยสิ้นเชิงไม่เกิดทุกข์อีก ดังนั้นต้องทำให้แจ้ง (สัจฉิกาตัพพธรรม)
๔. มรรค แนวทางปฏิบัติ เพื่อบรรลุเป้าหมาย การพ้นทุกข์ ประกอบด้วย กิจกรรมที่ต้องปฏิบัติกาย ปฏิบัติใจทั้งสิ้น 8 กิจกรรมด้วยกัน เริ่มตั้งแต่การศึกษาหาความรู้ ความเข้าใจ จนเกิดความเห็นชอบ หรือ สัมมาทิฐิ ปฏิบัติเรื่อยไป จนถึงการเจริญสมาธิ วิปัสสนา ตามแนวทางที่ถูกต้องเป็นสัมมาสมาธิการแก้ปัญหานั้น ต้องใช้ปัญญาและความเพียร (มรรค) ในการแก้ปัญหา จำเป็นต้องใช้ปัญญา (ความรู้) และวิริยะ (ความเพียร) อย่างเกื้อหนุนกัน จึงสามารถแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ กล่าวคือ จะต้องรู้ว่าอะไรคือปัญหามีสาเหตุมาจากอะไร มีหนทางแก้หรือไม่ จะแก้อย่างไร จะแก้อย่างไร เมื่อรู้แล้วจึงลงมือแก้ไขปัญหานั้นด้วยความเพียรพยายามอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นต้องเจริญภาวนา (ภาเวตัพพธรรม)

อริยสัจ ๔ คือการวิจัย
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ คือมีเหตุและผล และมีความน่าเชื่อกระบวนการของอริยสัจ คือ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ได้แก่ เกิดปัญหา หาสาเหตุของปัญหา ตั้ง สมมติฐาน และทดลอง กระบวนการนี้พระโพธิสัตว์สิทธัตถะ หรือสิทธัตถะดาบสได้ดำเนินการมาก่อน เหตุเกิดเมื่อ ๗ ปีก่อนพุทธกาล เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้ง ๔ อีกคือ แก่ เจ็บ ตาย และสมณะ ซึ่งทำให้พระองค์ทรงฉุกคิดได้ว่า ถ้าไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายได้หรือไม่ และอย่างไร
พระสิทธัตถะโพธิสัตว์ก็ทรงเริ่มทำการวิจัย โดยพระองค์เองเป็นนักวิจัย สถานที่ต่างๆเป็นเหมือนห้องทดลองให้ทำการวิจัยในการค้นคว้าหาเหตุผล หาคำตอบที่แท้จริง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการวิจัยที่พระองค์ได้ทรงกระทำ เริ่มตั้งแต่แสวงคำตอบกับพระอาจารย์ที่ดีที่สุดในชมพูทวีป ณ ตอนนั้น พระองค์เรียนจนจบทุกหลักสูตรก็ยังไม่สามารถตอบคำถามของพระองค์เองได้เหมือนนักเรียนได้เรียนตามที่อาจารย์สอนแล้วก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์สมมติฐานในการวิจัยที่ได้ตั้งขึ้นไว้ได้ ได้ทรงทดลองทำทุกขกิริยาอยู่อีกหลายปี ในที่สุดทรงพิจารณาเห็นว่าเป็นการประกอบความเหน็จเหนื่อยต่อตนเองเปล่าๆ ไม่เป็นประโยชน์เลย เพราะทุกขเวทนาแห่งร่างกายอย่างมากเช่นนั้นกลับทำให้ใจมัวไปนึกถึงแต่ความไม่สบายและเมื่อยเจ็บ ไม่สามารถกระทำใจให้แน่วแน่ในทางสมาธิอันเป็นต้นแห่งฌานทั้งปวงได้ และในทางตรงข้าม ถ้าเสวยกามบริโภคก็ได้ทรงทราบแน่ชัดแล้วว่าเป็นข้าสึกแก่ความสงบเพราะเมื่อสิ่งใดทำให้เพลิด เพลินก็เป็นบ่วงอันคล้องและผูกมัดไว้ มิให้เจริญในทางสมาธิได้ จะเห็นได้ว่าความเพียรพยายามในการหาคำตอบเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นของนักวิจัยที่ดีถึงแม้ว่าผลจากการทดลองที่ได้นั้นจะประสบกับความล้มเหลวก็ตาม
เมื่อทรงเห็นดังนี้ก็ทรงเลือกที่จะดำเนินทางสายกลาง  ได้ทรงพิจารณาต้นเหตุแห่งทุกข์เห็นว่า ความแก่ ความตาย เป็นทุกข์ที่ต้องการหลุดพ้น ทรงเห็นว่าเพราะมีความเกิดเป็นปัจจัย มีอุปทานเป็นความยึดถือซึ่งเกิดจากตัณหา ที่มีตัณหาก็เพราะมีเวทนาคือสุข ทุกข์ ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ และเวทนาเกิดขึ้นได้เพราะผัสสะซึ่งเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดสุขเวทนาและทุกขเวทนา ก็เนื่องมาจากอายตนะ ๖ ที่เป็นนามรูป วิญญาณ สังขารเพราะมีอวิชชาเป็นต้นเหตุ ร่างกายมนุษย์ประกอบไปด้วยธาตุ คือดิน น้ำ ลม ไฟ รวมกันเป็นรูปกายและวิญญาณธาตุซึ่งเป็นธาตุรู้ เป็นความรู้ที่แสดงออกมาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ โดยมีสัญญาหรือความจำเป็นตัวประสานทำให้ความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ แต่การเป็นธาตุรู้นั้นยังประกอบไปด้วยกิเลสหรืออวิชชาเป็นความรู้ไม่ถูกตามจริง ดังนั้นอวิชชาจึงเป็นต้นเหตุให้เกิดสังขาร เมื่อสังขารเกิดขึ้น วิญญาณความรู้สึกก็เกิดต่อเนื่องกันไป เมื่อวิญญาณเกิดจากสังขาร นามคือ เวทนา สัญญา สังขารซึ่งต่อเนื่องมากับวิญญาณและรูปคือร่างกาย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือขันธ์ ๕ ที่พร้อมจะปฏิบัติตามอายตะทั้ง ๖ คือ ตามีหน้าที่เห็น หูมีหน้าที่ได้ยิน จมูกมีหน้าที่ได้กลิ่น ลิ้นมีหน้าที่รู้รส กายก็มีหน้าที่รู้สึก ใจก็มีหน้าที่คิดประกอบกันไป ก็เกิดผัสสะหรือสิ่งที่บอกถึงความที่มากระทบว่ามีสุข ทุกข์ ก็เกิดเป็นเวทนาที่มีอวิชชาเป็นตัวทำให้เกิดตัณหาซึ่งไม่คงที่เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไปจึงเกิดอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นทำให้เกิดภพ เกิดชาติ ชรา มรณะก็เกิดต่อกันมาไม่รู้จักจบจักสิ้น เมื่อพระองค์รู้แจ้งเห็นจริงดังกล่างจึงเป็นทางที่นำพระองค์ไปสู่ความตรัสรู้
ในที่สุดพระองค์ทรงประกาศอริยสัจ ๔ ซึ่งพระองค์ตรัสรู้แล้วในเมื่อทรงเว้นทางสุดโต่งทั้งสองและทรงดำเนินไปในทางสายกลางที่มีองค์ประกอบกันอยู่ ๘ ประการซึ่งเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อย่างแท้จริงคือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ, สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ, สัมมาวาจา เจรจาชอบ, สัมมากัมมันตะ การงานชอบ, สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ, สัมมาวายามะ เพียรพยายามชอบ, สัมมาสติ ความระลึกชอบ, สัมมาสมาธิ ความตั้งใจชอบ ดังนั้นอริยสัจ ๔ เปรียบเสมือนหลักแห่งการวิจัยและพระองค์เป็นนักวิจัยผู้ยิ่งใหญ่ผู้ทดลองปฏิบัติด้วยตนเองทุกขั้นตอนกระบวนความและผลของการวิจัยแห่งการตรัสรู้สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงนำไปปฏิบัติได้ดังใน ธัมมจักกัปปวัตนสูตรซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสอนแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ว่า พระโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมก่อน ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อัญญาสิ วะตะ โภ โกณทัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณทัญโญ” หมายถึง โกณทัญญะผู้เจริญได้รู้แล้วหนอ โกณทัญญะได้รู้แล้วหนอ

แนวทางปฏิบัติกับอริยสัจ ๔
          การจะดับกิเลสได้ถึงความเป็นพระอริยบุคคลนั้นต้องเป็นเรื่องของปัญญาอย่างแท้จริง การรู้ความจริงในอริยสัจ ๔ ก็เป็นเรื่องปัญญาเช่นกัน การจะดับกิเลสได้ก็ต้องใช้ปัญญาและเข้าใจอริยสัจ ๔ อย่างถูกต้อง ซึ่งปัญญาในการรู้ความจริงอันประเสริฐตามความเป็นจริงมี ๓ คือ สัจจญาณ กิจญาณ และกตญาณ

          สัจจญาณ เป็นปัญญาที่รู้ความจริงในอริยสัจ ๔ โดยรู้ว่านี้เป็นทุกข์ นี้เหตุแห่งทุกข์ นี้การดับทุกข์ และนี้คือหนทางนำไปสู่ความดับทุกข์ ความรู้ความจริงทั้ง ๔ นี้ เป็นสัจธรรมอันประเสริฐ ต้องรู้ด้วยปัญญา เช่นการรู้ทุกข์ คือสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ที่เกิดขึ้นและดับไป ความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงเริ่มต้นจากการศึกษาในขั้นปริยัติ   ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องว่านามธรรมและรูปธรรมเท่านั้นเป็นสิ่งที่มีจริง    และเป็นสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา  หาใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนไม่เป็นสัจจญาณในขั้นปริยัติ   จนกว่าสติปัฏฐานเริ่มเกิด  ความรู้ในลักษณะของนามธรรมรูปธรรมที่กำลังปรากฏ ค่อยๆ รู้เพิ่มขึ้นจนเป็นปัญญาที่สมบูรณ์เป็นวิปัสสนาญาณเป็นการประจักษ์แจ้งนามรูปที่แยกขาดจากกัน รู้ว่าเป็นเพียงนามรูปเท่านั้น ที่เป็นอนัตตา
          กิจญาญ เป็นปัญญาที่รู้หน้าที่ กิจที่ควรทำในอริยสัจ ๔ คือรู้ว่าทุกขสัจเป็นสภาพที่ควรกำหนดรู้ สมุทัยสัจเป็นสภาพที่ควรละ นิโรธสัจจ์เป็นสภาพที่ควรกระทำให้แจ้ง มรรคสัจจ์เป็นสภาพที่ควรเจริญ ขณะที่สติปัฏฐานเกิดเป็นการเริ่มต้นของกิจจญาณ คือปัญญาเริ่มทำกิจรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงซึ่งเป็นทุกขสัจ และละสมุทัยชั่วขณะจนกว่าวิปัสสญาณและมรรคจิตจะเกิดจึงเป็นการกระทำนิโรธสัจให้แจ้งเป็นการอบรมมรรคสัจที่สมบูรณ์
          กตญาณเป็นปัญญาที่รู้แจ้งในกิจ ที่ได้ทำแล้วในอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง อันหมายถึงการบรรลุธรรมดับกิเลสได้นั่นเอง
          ในขณะมนุษย์ปุถุชนอย่างเราก็สามารถนำหลักธรรมอริยสัจ ๔ ที่พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้นำมาปฏิบัติได้โดยต้องรู้ว่า
ทุกข์ เป็นสภาพที่ทนอยู่ได้ยากเพราะมันคือความทุกข์เป็นความจริงประการแรกที่ว่า มนุษย์เกิดมาแล้ว ย่อมต้องประสบกับทุกข์ ไม่ว่าจะทุกข์ทางกาย เช่น โรคภัยไข้เจ็บ ความแก่ชรา ฯลฯ หรือทุกข์ทางใจ เช่น ความเศร้ามัวหมองของจิตที่เกิดจากกิเลสและนิวรณ์ทั้งหลาย วิธีปฏิบัติเพื่อนำสัจธรรมไปดับทุกข์ ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกแห่งการดับทุกข์ตามหลักอริยสัจได้นั้นเราต้องมองเห็นทุกข์ รู้เสียก่อนว่าตอนนี้เรากำลังประสบกับทุกข์เรื่องอะไร ต้องใช้สติยอมรับว่า ทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ การที่ไปมัวโทษสิ่งต่างๆ รอบตัวหรือไปโวยวายอาละวาดกับใครหรือสิ่งใดก็ไม่สามารถช่วยขับไล่ทุกข์ได้ รังแต่จะเป็นการทำให้ใจร้อนรนยิ่งขึ้น ทำให้ทุกข์ที่ประสบอยู่ขยายขนาดยิ่งขึ้น ดังนั้นในขั้นตอนแรกแห่งการดับทุกข์อย่างมีเหตุและผล คือ เราต้องคุมสติให้ดี เข้าใจตามหลักความจริงว่า ทุกข์ ย่อมเกิดขึ้นได้เราต้องทำใจยอมรับมันอย่างตรงไปตรงมา กล้าเผชิญหน้ากับปัญหา และไม่หลอกตัวเองหรือหาทางหนีปัญหา ต้องรู้ว่านี่คือทุกข์
สมุทัย เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ซึ่งตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดทุกข์ คือสิ่งที่เรียกว่า ตัณหา 3 ประเภทประกอบไปด้วย กามตัณหา ซึ่งก็คือความทะยานอยากในความชอบต่าง ๆ, ภวตัณหา ซึ่งก็คือความทะยานอยากที่จะเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ และ วิภวตัณหา คือ ความไม่อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ซึ่งตัณหาเหล่านี้ คือสภาวะที่เกิดต่อเนื่องมาจากตัวกิเลสทั้งหลาย เมื่อเราเกิดกิเลส (โลภะ โทสะ โมหะ) เราก็จะเกิดความอยากหรือไม่อยากที่ชัดเจนเป็นรูปเป็นร่าง วิธีปฏิบัติเพื่อนำสัจธรรมไปดับทุกข์นั้น หลังจากเรารู้จักตัวทุกข์แล้ว ขั้นต่อมาก็คือ เราต้องรู้ให้ถึงสาเหตุแห่งทุกข์ ว่ามันมีที่มาจากไหน ตอนที่เรากำลังเป็นทุกข์นั้นเราทุกข์เพราะอะไร เช่น ทุกข์เพราะความอยากได้ ซึ่งเป็นกิเลสประเภทโลภะ หรือทุกข์เพราะความโกรธเกลียด ซึ่งเป็นกิเลสประเภทโทสะ พอเราได้เห็นถึงสาเหตุก็จะสามารถทำการยุติมันได้อย่างตรงจุดเปรียบเสมือนได้รับยารักษาที่ตรงกับโรคจากหมอผู้เชียวชาญและวิเคราะห์โรคได้ตรงจุด จึงเป็นการทำให้ละ
          นิโรธ เป็นการดับทุกข์ เป็นการลงมือยุติตัณหาทั้ง ๓ นั้นให้หมดไป ถือเป็นขั้นตอนจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกอันเป็นทุกข์ อันร้อนรนของเรา โดยการลงมือดับตัณหาทั้งหมด เปรียบได้กับถ้าทุกข์เป็นไฟ นิโรธก็คือขั้นตอนการทำให้ไฟนั้นดับลง ถ้าสามารถดับได้ถึงขั้นเป็นไฟสิ้นเชื้อได้จะยิ่งดีที่สุด สำหรับการใช้นิโรธเพื่อดับตัณหานั้น มีแนวทางที่เราสามารถนำไปปรับใช้เพื่อจัดการกับตัวตัณหาได้โดย
๑. วิกขัมภนนิโรธ คือ การดับด้วยการข่ม ซึ่งสามารถทำได้สำหรับผู้ที่ปฏิบัติฝึกฝนจิตใจมาดีในระดับหนึ่ง ก็จะสามารถทำใจให้อยู่เหมือนกิเลสตัณหาทั้งปวง มองว่ามันเป็นของธรรมดาที่เกิดมาแล้วย่อมดับไป
๒. ตทังคนิโรธ คือ การดับกิเลสตัณหาด้วยหลักธรรมอันเป็นคู่ปรับของมัน เช่นเมื่อเราเกิดโทสะ เราก็ต้องนึกถึงธรรมแห่งความอดทนอดกลั้น หรือขันติขึ้นมาเพื่อสงบระงับมัน
๓. สมุทเฉจนิโรธ คือ การดับกิเลสตัณหาด้วยการตัดขาด โดยใช้หลักทางสายกลางที่มีองค์ประกอบกันอยู่ ๘ ประการ หรือมรรคมีองค์ ๘ ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเป็นตัวจัดการ
๔. ปฏิปัสสัทธินิโรธ คือ การดับกิเลสตัณหาด้วยการสงบระงับ สามารถระงับกิเลสได้อย่างรวดเร็วได้จิตที่ฝึกปฏิบัติมาอย่างดีแล้ว
๕. นิสสรณะนิโรธ คือ การดับกิเลสโดยสิ้นเชิง และดับได้ต่อเนื่องตลอดไป ซึ่งก็คือการถึงขั้นนิพพาน มองทุกสิ่งที่เรื่องว่างหรืออนัตตา เป็นการดับกิเลสได้อย่างถาวร
วิธีใช้เพื่อนำไปดับทุกข์นั้น เมื่อเรารู้ทุกข์และเหตุแห่งทุกข์แล้วเราต้องหาทางระงับทุกข์ให้ดับก่อนถึงจะเริ่มแก้ปัญหาได้เพราะในขณะที่ใจเราร้อนรน อันเกิดจากไฟแห่งความทุกข์แผดเผา พลังสติปัญญาและความคิดก็จะอ่อนแรงหรืออาจไม่มีพลังเพียงพอที่จะทำอะไรได้ อีกทั้งการพยายามคิดหาทางออกเพื่อแก้ปัญหาท่ามกลางใจที่ยังมีไฟสุมทรวง ก็เปรียบได้กับการพยายามดับไฟด้วยการเป่าลม หรือการพยายามแก้ปัญหาด้วยใจที่ลนลาน จึงย่อมเป็นการยากที่เราจะสามารถจัดการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งขั้นตอนแห่งการหาทางสงบจิตใจ หรือ ตั้งสติ เพื่อเรียกพลังแห่งปัญญาให้เกิดขึ้น เราจะได้ลงมือแก้ปัญหาได้ มองสาเหตุของปัญหา มองที่มาของตัวทุกข์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง อันจะส่งผลให้เราสามารถเอาชนะทุกข์ตัวนั้นได้อย่างเด็ดขาดที่สุด จึงเป็นการทำให้แจ้ง
มรรค เป็นแนวปฏิบัติที่นำไปสู่การดับทุกข์ หรือก็คือการลงมือแก้ปัญหา โดยการปฏิบัติสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสำหรับการระงับทุกข์นั้นให้จบสิ้นไป ซึ่งเราจะกระทำสิ่งที่ถูกได้ก็ต่อเมื่อเราผ่านกระบวนการรู้ตนว่าทุกข์เรื่องอะไร (ทุกข์) รู้ว่าทุกข์เพราะอะไร (สมุทัย) และทำใจสงบ เปิดสมอง เรียกสติปัญญากลับมาเป็นเครื่องช่วยในการฝ่าฟันปัญหาพร้อมแล้ว (นิโรธ)
วิธีใช้เพื่อนำไปดับทุกข์ เป็นขั้นตอนแห่งการลงมือดับทุกข์ ชนะทุกข์ ซึ่งขอเพียงเรามีสติ มีความใจเย็นก็จะทำให้เราค่อยๆ เริ่มกระบวนการคิด ไตร่ตรอง วิเคราะห์ พิจารณาสิ่งต่างๆ ด้วยใจเป็นกลาง ตามความจริง และด้วยความคิดที่มุ่งหมายให้เกิดเรื่องในทางบวก ทางสร้างสรรค์ แล้วก็ค่อยๆ ประยุกต์ลงมือทำไป เช่น หากวันหนึ่งโทรศัพท์มือถือของเราเกิดหายไป แน่นอนว่าเราต้องทุกข์อย่างมาก และอาจเกิดอารมณ์ขุ่นมัว ไม่พอใจ เกิดความเศร้า หรือดีไม่ดีก็อาจเกิดกิเลสในเชิงโทสะ คิดว่ามีคนมาขโมยไป หรือไม่ก็เกิดโมหะ สับสน งงงันทำอะไรต่อไปไม่ถูก ดังนั้นเราต้องรีบดึงสติกลับมาและตั้งสติให้เร็วที่สุด ค่อยๆ นึกถึงสาเหตุว่าเราอาจไปทำหล่นไว้ที่ไหน หรือ เราควรไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่เพื่อให้ช่วยตามหาหรือไม่ และอาจจะต้องเผื่อใจว่าเราอาจต้องซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ ในกรณีที่หาไม่เจอระหว่างการดำเนินการแก้ปัญหานั้น เราก็ต้องระลึกถึงหลักแห่งมรรคมีองค์ ๘ ไว้เสมอ ว่าเราต้องทำสิ่งที่ถูก ไม่โวยวาย ไม่อารมณ์เสีย ไม่ขาดสติ และไม่หันไปทำสิ่งผิดเสียเอง (เช่น ไปขโมยมือถือหรือขโมยเงินคนอื่นมาซื้อมือถือใหม่ให้ตัวเอง) จุดสำคัญแห่งการเอาชนะความทุกข์นั้น คือ เราต้องมีสติ ต้องเรียกสติให้พร้อมเสมอ สติต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด อย่าปล่อยให้ใจวุ่นวายสับสน ซึ่งหากจะถามว่าแล้วต้องทำอย่างไรถึงจะมีสติ เรื่องนี้ก็ต้องอยู่ที่ตัวเราเองว่าจะหมั่นฝึกฝนปฏิบัติเพื่อมีพลังแห่งสติมากน้อยแค่ไหน
ดังนั้นการจะเข้าถึงปัญญา ๓ พร้อมกับขั้นตอนของการดับทุกข์ตามที่กล่าวมาแล้วนั้นที่สำคัญต้องเริ่มจากการปฏิบัติธรรมในหนทางที่ถูกต้องด้วยความเพียร พยายามเหมือนดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงทำเป็นตัวอย่างให้เราดูแล้ว มีการพิสูจน์ตามหลักธรรมอริยสัจ ๔ ที่พระองค์ท่านตรัสรู้ว่าเป็นสิ่งประเสริฐ เป็นความจริงตามธรรมชาติที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเราก็สามารถเข้าถึงหลักธรรมที่แท้จริงได้ ซึ่งได้พิสูจน์แล้วสามารถนำมาปฏิบัติได้ผลจริงดังที่กล่าวมาแล้ว

สรุปและข้อเสนอแนะ
การที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงตามธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว ทรงพบว่าความจริงของสิ่งทั้งหลายหรือกฎธรรมชาตินั้นเป็น อนิจจัง ไม่เที่ยง ไม่คงที่ เกิดแล้วดับเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเป็นทุกขัง คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และเป็นอนัตตา ไม่เป็นตัวตนของใครที่จะไปสั่งบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาได้ซึ่งพระองค์ทรงสอนเรื่องไตรลักษณ์ ดังนั้นเราจึงสามารถนำพระพุทธเจ้ามาทรงเป็นต้นแบบ โดยเป็นสรณะเป็นเครื่องเตือนใจให้ ระลึกว่าตัวเรานี้เป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง พระพุทธเจ้าเมื่อก่อนที่จะทรงฝึก พระองค์ก็เป็น มนุษย์อย่างพวกเรานี้ เราจึงมีศักยภาพที่จะฝึกให้ประเสริฐอย่างพระพุทธเจ้าได้ พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ประเสริฐเลิศสูงสุด ตรัสรู้สัจธรรม มีพระคุณสมบัติสมบูรณ์ทุกประการเพราะได้ทรงฝึกดังที่เรียกว่าทรงบเพ็ญบารมีมากมายจนสมบูรณ์ ถ้าเราตั้ง ..."พุทธะ" ขึ้นมาเป็นแม่แบบว่าดูสิ มนุษย์ผู้ฝึกดีถึงที่สุดแล้ว พัฒนาดีแล้ว มี ปัญญารู้สัจธรรม บริสุทธิ์หลุดพ้น เป็นอิสระ อยู่เหนือโลกธรรม มีความสุข มีชีวิตที่ดีงาม มีคุณธรรม ความดีงามที่สมบูรณ์ เป็นที่พึ่งของขาวโลก เลิศประเสริฐขนาดนี้ พอ ระลึกได้อย่างนี้ก็เกิดศรัทธาที่เรียกว่า ตถาคตโพธิสัทธา คือ เชื่อในปัญญาตรัสรู้ของ พระพุทธเจ้าซึ่งมีความหมายต่อไปอีกว่าเชื่อในปัญญาที่ทำให้มนุษย์กลายเป็นพุทธะ เพราะฉะนั้นเราจึงควรถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะนั้น เป็นสิ่งที่ประเสริฐควรนำมาเป็นต้นแบบของการปฏิบัติ ดังบทสรรเสริฐพระธรรมคุณที่ว่า
พระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว  เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง  เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล  เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่าท่านจงมาดูเถิด เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่งที่ผู้รู้ พึงรู้ได้เฉพาะตน”


 

บรรณานุกรม
พระไตรปิฎก, อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่มที่ ๒๐ ข้อที่ ๕๗๖ หน้าที่ ๓๒๒ – ๓๓๓ ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง ๒๕๑๔

พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร, หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ, ISBN: 978-616-7574-09-7, พิมพ์ครั้งที่ ๑ พุทธ ชยันตี ๒๖๐๐ ปี ทรงตรัสรู้ธรรม มหกรรมลานโพธิ์ ตอนงานวัดลอยฟ้า พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๕ โดยหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ จำนวน ๕,๐๐๐ เล่ม, พิมพ์ที่ บริษัท คิงออฟแอดเวอร์ไทซิ่งแอนด์กราฟฟิค จำกัด
หัวใจพุทธศาสนา ชีวิตคืออะไร อริยสัจสี่ - NovaBizz. ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๗. งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแนวทางการปฏิบัติเพื่อพัฒนาคุณภาพจิตให้สูงยิ่งขึ้นแนวทางการปฏิบัติเพื่อพัฒนาคุณภาพจิตให้สูงขึ้น
1.รู้เท่าทันอารมณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง

ทุกข์ของมนุษย์เกิดจาก ความคิด ฉะนั้น ถ้าจะหยุดทุกข์ก็ต้องหยุดคิด การหยุดความคิดในที่นี้คือ การหยุดคิดในสิ่งที่เศร้าหมองในอดีต และหยุดกังวลถึง เรื่องในอนาคตที่ยังมามาถึง โดยการเฝ้ามองดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นทั้งอารมณ์สุข ทุกข์ หรืออารมณ์เฉย ๆ อย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้จะช่วยให้จิตกลับเข้าสู่ความเป็นกลางและเกิดความสงบ และเมื่อจะเริ่มคิดก็ให้เลือกคิดแต่สิ่งที่ดี ๆ มีประโยชน์และสร้างสรรค์ มนุษย์ส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวว่า ตัวเองกำลังถูกความคิดลากไปเรื่องแล้วเรื่องเล่า หรือรู้ว่ากำลังคิด แต่ไม่รู้จักเลือกเรื่องที่คิด เพราะคิดเรื่อง เศร้าหมอง จนเป็นนิสัย หรือรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้น ก่อให้เกิดความทุกข์ แต่ไม่สามารถพาตัวเอง ออกจากความคิดเหล่านั้นได้ เพราะไม่มีกำลังสมาธิเพีย
2. นิ่งก่อนจิตจึงจะคิดได้
จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า มนุษย์อาจจะรู้ว่า สิ่งที่ตนเองคิดอยู่นั้นก่อให้เกิดทุกข์แต่ไม่รู้ว่าจะออกจากกองทุกข์นั้นได้อย่างไร หรือขณะที่กำลังขบคิดแก้ปัญหา แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก ก่อให้เกิดความสับสน และว้าวุ่นเป็นอย่างมาก เมื่อจิตเกิดความไม่สงบด้วยนิวรณ์ ๕ อันประกอบด้วย ความอยากมีอยากเป็นอยากได้ ความไม่อยากมีไม่อยากเป็นไม่อยากได้ การหมกมุ่นในกามตัณหา ความโกรธเกลียดอาฆาตแค้น ความเบื่อหน่ายเซ็งชีวิต ความฟุ้งซ่านสับสน และความลังเลสงสัยไม่แน่ใจ จิตจะไม่มีสมาธิ ไม่มีความสงบ สภาวะจิตเช่นนี้ นอกจากจะไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว ยังจะทำให้เรายิ่งทุกข์และยิ่งแก้ไขปัญหาไม่ออกเหมือนเดิม หรืออาจจะมีปัญหอื่นตามมาอีก เป็นทวีคูณ ฉะนั้น วิธีการที่ดีที่สุดที่จะแก้ไขปัญหานี้คือ การหยุดคิดและให้ลืมปัญหา ลืมตัวเอง ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปชั่วขณะหนึ่ง โดยการสวดมนต์ หรือ ทำสมาธิโดย การจดจ่ออยู่กับลมหายใจ โดยไม่คิดเรื่องอื่น จิตจึงจะมีเริ่มมีพลัง สภาวะจิตนี้ เองจึงจะเหมาะแก่ การนำไปขบคิด เพื่อแก้ไขปัญหา เพื่อออกจากกองทุกข์ และเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ
นอกจากนั้น ในสภาวะปกติ เมื่อไม่มีความทุกข์ใด ๆ ก็ให้หมั่นสวดมนต์ ทำสมาธิและให้นำพลังสมาธินี้ ไปใช้เพื่อเฝ้ามองดู อารมณ์ใน ชีวิตประจำวัน และฝึกความรู้เนื้อรู้ตัวในทุก ๆ อิริยาบถ เพื่อทำลายนิสัยเก่า ๆ ที่เคยชินกับความคิดเดิม ๆ ที่เศร้าหมองและสับสน และสร้างนิสัยใหม่ ในการเลือกความคิด คิดแต่ในสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ต่อไป
3. พูดทีละคำฟังทีละเสียง
คนส่วนใหญ่มักไม่ได้ยินเสียงที่ตัวเองพูด ไม่รู้ว่าตนเองกำลังพูดอะไร พูดไปทำไม พูดแล้วจะเกิดอะไร พูดและไม่พูดผลต่างกันอย่างไร สักแต่ว่าพูด ๆ ไป ตามความคิดที่ผุดขึ้นมาตาม ความเคยชิน ฉะนั้น มนุษย์จึงมักชอบพูดเพ้อเจ้อ พูดนินทา พูดส่อเสียด พูดคำผรุสวาท พูดโกหกจนเป็นนิสัยโดยที่ไม่รู้ตัว การพูดโดยขาดสติ ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ไม่มีความรู้สึก ในขณะที่พูดนั้น ย่อมให้เกิดความทุกข์ และความเศร้าหมองใจ โดยที่เราแทบจะไม่รู้ตัว ฉะนั้น วิธีแก้ไขที่ง่ายที่สุดคือแก้ไขที่ต้นเหตุคือ ให้คิดก่อนพูดและต้องได้ยินในสิ่งที่ตนเองกำลังพูดออกมา
4. ทำจิตใจให้ผ่องใสและสบาย
การเพียรพยายามประคับประคองจิตใจให้มีความผ่องใสเบิกบานนั้น มีวิธีปฏิบัติ ดังนี้
1. รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ก่อนเพื่อทำให้จิตสามารถตั้งอยู่ได้
การผิดศีลข้อหนึ่งคือ การฆ่าสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตหรือการรังแกให้เกิดความเดือดร้อนจะทำให้จิตใจเรามีแต่ความโหดเหี้ยม หยาบกระด้าง ไร้ความรู้สึก
ข้อสองคือการลักทรัพย์และข้อสามคือการประพฤติผิดในกาม นอกใจสามีภรรยาหรือแม้แต่คู่รักของตน จิตใจจะเกิดความวกวนและหวาดระแวงเพราะกลัวถูกจับได้ ไร้ซึ่งความสงบในจิตใจ
ศีลข้อที่สี่คือ การพูดเท็จ การพูดคำหยาบ การพูดส่อเสียด และการพูดเพ้อเจ้อ การพูดมากโดยขาดสติจะทำให้จิตใจฟุ้งซ่านขาดความสงบ และศีลข้อที่ห้าคือ การดื่มสุราหรือของมึนเมา จะทำให้ขาดสติ และขาดความยับยังชั่งใจ สามารถก่ออกุศลกรรมมากมาย ซึ่งยังผลให้จิตใจเกิดความสับสน ทุกข์ทรมาน ขาดความสงบมากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ
2. มีสติรู้เท่าทันสภาวะจิตของตนเองว่า ในขณะนี้เรากำลังทุกข์ทรมานอึดอัด หรือผ่องใสเบาสบาย
3. มีสมาธิเพื่อใช้ในการมองและรู้เท่าทันสภาวะจิตอย่างต่อเนื่อง
4. ใช้ปัญญาในการข่มจิตเพื่อประคับประคองจิตใจ ในกรณีที่จิตในเกิดการปรุงแต่งจนเกิดเป็นอารมณ์เช่น ความโกรธ ความเศร้า หรือความยินดีลิงโลดใจ
5. รู้จักและเข้าใจระบบความคิดของตนเองในเรื่อง นิวรณ์ ๕

ในขณะที่เราพยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่นั้น พยายามเท่าไรก็ไม่ผ่องใส ให้พิจารณาสาเหตุของความไม่ผ่องใสนั้น ๆ ซึ่งมักหนีไม่พ้นเรื่อง นิวรณ์ ๕ ได้แก่
1. ความอยากมีอยากเป็นอยากได้และกามตัณหา
ผู้ที่หมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาความสุขเพื่อตอบสนองความสุขทางกายวาจาและใจเช่น การอยากมองสิ่งที่สวยงาม รับประทานอาหารที่มีรสอร่อย และได้ยินเสียงที่ไพเราะ เป็นต้น และรวมไปถึงการหมกมุ่นในกามราคะด้วย วิธีแก้ไขอาการหมกมุ่นดังกล่าวคือ การสวดมนต์ไหว้พระทำสมาธิและหัดถามตัวเองว่า ถ้าเรายังคงหมกมุ่นอยู่กับสิ่งพวกนี้ไปเรื่อย ๆ ต่อไปในอนาคต ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร เราจะมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง หรือในกรณีที่อกหักให้พิจารณาว่า สิ่งไหนเป็นของเราก็เป็นของเรา อันไหนไม่ใช่ก็ไม่ใช่ และไม่ควรคิดทำร้ายตัวเอง เราต้องหัดรักตัวเองก่อนเพราะถ้าเรารักตัวเองไม่เป็นแล้วเราจะรักผู้อื่นเป็นได้อย่างไร
2. ความโกรธเกลียดอาฆาตพยาบาท
การที่เรามีความอึดอัดโกรธเกลียดอยู่เป็นประจำ จะทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม และด้วยนิสัยโกรธง่ายนี้จะทำให้เราเป็นที่น่ารังเกียจต่อคนรอบข้าง การทำงานในยุคปัจจุบันจำเป็นจะต้องอาศัยการทำงานเป็นทีม หากเราไม่สามารถเข้ากับคนอื่นได้ แล้วเราจะประสบความสำเร็จและมีความสุขในชีวิตได้อย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อเกิดความอึดอัดไม่สบายใจ ให้ลองย้อนกลับมาดูตัวเองบ้างว่า เรามีส่วนอะไรบ้างกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเช่น การการทะเลาะเบาะแว้งที่เกิดขึ้น อาจเป็นเพราะเราพลั้งปากไปว่าอีกฝ่ายหรือเปล่า หรือเราพูดมากเกินไปจนอีกฝ่ายรู้ความลับและนำความลับดังกล่าวมาหักหลังจนเกิดเป็นเรื่องราวบานปลาย หรือเราอาจจะชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ นิดนึงก็ไม่ได้นิดนึงก็ไม่ยอม ไม่รู้จักปล่อยวาง เป็นต้น เมื่อมีความหงุดหงิดใจให้พิจารณาถึงสาเหตุ เพราะสิ่งต่าง ๆ ในโลกล้วนเกิดแต่เหตุ ซึ่งมักมี เราเข้าไปมีส่วนร่วมเสมอ แต่เรากลับมองไม่ออกเพราะเรามักกล่าวโทษผู้อื่นก่อนเมื่อมีหายนะหรือความอึดอัด เศร้าหมองต่าง ๆ เกิดขึ้นกับเรา
3. ความเบื่อหน่ายเซ็งชีวิต
วิธีแก้ไขคือ ให้ถามตัวเองว่า ก่อนจะจากโลกนี้ไปเราอยากทำประโยชน์อะไรให้แก่สังคมและเพื่อนมนุษย์บ้าง และเราอยากให้คนข้างหลังจดจำตัวเราได้ในลักษณะใด แล้ว ณ วันนี้เราลงมือทำแล้วหรือยัง
4. ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ
ผู้ที่มีความฟุ้งซ่านเป็นอารมณ์ จะพูดไม่หยุดและมีคิดผุดขึ้นมาในใจตลอดเวลา อารมณ์ไม่คงที่ คิดในแง่ลบอยู่ตลอดเวลา ชอบจับผิดผู้อื่น ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความสงบและสบายใจ ขยันแต่ไม่ตรงจุด เป็นเจ้าความคิดแต่คิดไม่ตรงประเด็น วิธีแก้ไขคือ พยายามควบคุมความคิดโดยการ
5. ลังเลสงสัย
ผู้ที่มีความลังเลสงสัยจะมีความสับสนและไม่มั่นใจอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าที่จะลงมือกระทำเพราะกลัวความผิดพลาด กลัวความผิดหวัง กลัวว่าตัวเองจะทำไม่ได้ และกลัวว่าสิ่งนี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง วิธีแก้ไขคือ
ท้ายสุดของบทรวบรวมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ
กุศลต้องสร้าง
อกุศลกรร
และพยายามประคับประคองให้จิตใจผ่องใสอยู่เสม




[๑] นักศึกษาดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
[๒] อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่มที่ ๒๐ ข้อที่ ๕๗๖ หน้าที่ ๓๒๒ – ๓๓๓ ในพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง ๒๕๑๔